ถอยเถิด‘เพื่อไทย’! ‘รสนา’เตือนฝืนแจกเงินดิจิทัลเสี่ยงผิดกฎหมาย ชี้อย่าเอาไปเทียบ 30 บาท
31 ต.ค. 2566 น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) กรุงเทพฯ กล่าวในรายการ “แนวหน้า Talk”โดยมีนายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ ในประเด็นนโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ว่า เรื่องนี้มีปัญหาทั้งด้านกฎหมาย ซึ่งโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน โดยรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 140 กำหนดให้การนำงบประมาณไปใช้รัฐบาลต้องนำเสนอเข้าสู่กระบวนการงบประมาณเพื่อให้รัฐสภาพิจารณา ซึ่งหากจะแจกภายในปี 2567 ก็ต้องใช้งบประมาณประจำปี 2567 แต่ในเมื่อรัฐบาลไม่เข้ากระบวนการงบประมาณ หมายถึงจะไม่ใช้เงินงบประมาณใช่หรือไม่ หรือการที่มีข่าวว่าจะไปกู้เงินจากธนาคารออมสิน ก็ต้องไปดุว่ามีกฎหมายให้ทำได้หรือไม่
และด้านวินัยการเงิน-การคลัง ซึ่งการใช้เงินงบประมาณต้องไม่เป็นไปเพื่อผลของการหาเสียง โดยเฉพาะมีข้อสังเกตเรื่อง “จ่ายตั้งแต่อายุครบ 16 ปีบริบูรณ์” จึงอยากให้ กกต. ตรวจสอบเพราะเข้าข่าย “นโยบายประชานิยม” ซึ่งโดยปกติการนำเงินออกมาใช้หรือต้องกู้เงิน จำเป็นต้องมีสถานการณ์ฉุกเฉินรองรับ เช่น น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 หรือสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันนี้ไมได้มีสถานการณ์อะไรที่ฉุกเฉิน
ส่วนที่รัฐบาลบอกว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจยังมีปัญหาอยู่จึงต้องการการอัดฉีด ลองดูในภาพรวม เช่น บอกว่าเงินที่แจกต้องใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน ซึ่งงบทั้งหมดที่จะนำมาใช้คือ 5.6 แสนล้านบาท ลองสมมติประเทศชาติเป็นครอบครัวที่ไมได้ร่ำรวยนัก พ่อหรือหัวหน้าครอบครัวบอกว่าเดี๋ยวจะไปกู้เงินมาให้ลูกๆ ใช้กันเต็มที่ ถามว่าแบบนี้มีประโยชน์อะไร แล้วหากวันหนึ่งพ่อไม่อยู่บ้าน ลูกๆ ก็จะต้องมาตามใช้หนี้ไปอีกนานหลายปี
ทั้งนี้ การที่รัฐบาลบอกว่าจะดันการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ให้สูงขึ้น โดยในปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ตั้งเป้าว่าปีต่อๆ ไปจะต้องสูงขึ้น โดยหวังว่าจะให้ GDP โตถึงร้อยละ 5 แต่ถามว่าเหมาะสมจริงหรือกับการนำงบประมาณมหาศาลมาทุ่มกับเรื่องนี้ และหาก กกต. บอกว่าทำได้ ก็เชื่อว่าต่อไปพรรคอื่นก็จะทำบ้าง อาจมีบางพรรคหาเสียงแจก 1 แสนบ้าง 5 แสนบ้างช่วยใกล้เลือกตั้ง แบบนี้ประเทศคงแย่
“อยากให้ กกต. ทบทวน ไม่ใช่แค่กฎหมายเลือกตั้ง คุณด้องดูกฎหมายอื่นๆ ด้วย กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายอะไรทั้งหลาย สามารถทำอย่างนี้ได้ไหม? ยังมีประเด็นเรื่อง พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 ก็ต้องถามว่าเงินที่รัฐบาลจะแจกมันไม่ใช่แจกแบบเงินบาท มันจะเป็นสกุลใหม่หรือเปล่า? ซึ่งจะมาแจกแบบนี้น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายไหม? อันนี้มันอยู่ในประเด็นที่ร้องเรียนไป รัฐบาลเขาเลยส่งคำถามไปขอให้กฤษฎีกาตอบ 3 เรื่อง 1.เรื่องวินัยการเงินการคลัง 2.เรื่องกู้ออมสิน 3.เรื่องของ พ.ร.บ.เงินตรา” รสนา กล่าว
น.ส.รสนา กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตรา ที่กฤษฎีกาตีความนั้น หากการแจกเงินดิจิทัลแล้วรัฐบาลไม่สามารถเก็บเงินทั้งหมดกลับมาแลกเป็นเงินสดให้ได้ครบภายใน 6 เดือน อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเพราะกลายเป็นเงินสกุลใหม่ แต่ในมุมของนักกฎหมายระดับอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาท่านหนึ่ง บอกให้ไปดู พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ.2501 ซึ่งนิยามของเงินตราต้องเป็นวัตถุจับต้องได้อย่างธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ ดังนั้นเงินดิจิทัลที่อยู่ในอากาศจึงไม่น่าจะอยู่ในนิยามของกฎหมายฉบับนี้ หากรัฐบาลต้องการแจกเงินดิจิทัลก็ต้องแก้กฎหมายนี้ก่อนด้วย
จึงกลายเป็นคำถามว่า กฤษฎีกาตีความเรื่องหากเก็บเงินกลับมาให้ครบภายใน 6 เดือนถือว่าไม่ผิดนั้นขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับคู่ปอง อดีตผู้พิพากษาท่านนี้ก็อธิบายว่า คูปองนั้นใช้ในวงแคบ เช่น ศูนย์อาหารของห้างสรรพสินค้า ต่างจากเงินดิจิทัลที่ทุกคนใช้กันทั่วประเทศ ไม่ว่าจะไปใช้ที่จังหวัดใดก็ตาม และกำหนดว่าจะร้านค้าที่ขายสินค้าโดยรับเงินดิจิทัลจะแลกกลับเป็นเงินสดสกุลเงินบาทต้องรอให้ครบ 6 เดือน
คำถามคือจะไม่เกิดปัญหาใดๆ เลยหรือ ลองนึกถึงร้านค้าเล็กๆ รายย่อยที่สายป่วนไม่ยาว แต่จะเอาไปแลกเป็นสินค้าคนจะเชื่อหรือไม่ว่าเงินดิจิทัลนี้คือเงิน ในขณะที่คูปองรับมาและแลกคืนแบบทางเดียว แต่เงินดิจิทัลนั้นทั้งรับมาและแลกเปลี่ยนออกไปแบบเดียวกับเงินตรา เรื่องนี้ต้องให้นักกฎหมายเป็นผู้ตัดสิน และการที่กฤษฎีกาตีความมาแบบนี้ไม่น่าจะถูกต้อง รัฐมนตรีอาจอนุญาตได้ แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการได้เพราะกฎหมายไม่ได้เปิดช่องให้ทำ และหากฝืนจะทำให้ได้ก็อาจมีความผิดถึงขั้นติดคุก
“คุณถอยดีกว่าไหม? อย่าไปคิดเรื่องเสียหน้า คือเรามองประโยชน์ว่าเราใช้เงินของแผ่นดินซึ่งเป็นเงินของประชาชนทุกคน เราควรทำให้มันมีประโยชน์ ซึ่งที่จริงรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลนี้ออกมาโต้ว่า ไปเปรียบเทียบกับ 30 บาทรักษาทุกโรค ว่า 30 บาทสมัยก่อนก็มีคนทักท้วง ซึ่งอันที่จริงคนละเรื่อง เพราะต้องบอกว่า 30 บาทรักษาทุกโรคมันเป็นสวัสดิการ แต่อันนี้มันเป็นประชานิยม มันแจกเงิน มันคนละเรื่องอย่าเอามาอ้าง อยากเตือนด้วยความหวังดีว่าทำอะไรให้รอบคอบ อย่าไปคิดเพียงว่าเรามีความคิดบรรเจิด ทำแล้วให้มันปังไปเลย กลัวว่าจะไม่ปัง มันจะพังเอา” อดีต สว. กรุงเทพฯ กล่าว
สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=nfFEX_0DG_w
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี