ยังไม่เคลียร์งบซอฟต์พาวเวอร์5.1พันล้าน

‘อุ๊งอิ๊ง’ปิดปากเงียบ

อุบนิ่งไม่พูดถึงอาการป่วยพ่อ

พร้อมแจงรวดเดียว6ธันวาฯ

ร้องปปช.สอบ‘นายกฯ-อิ๊ง’

ให้-รับผ้ามัดหมี่เกิน3พันบาท

ควันหลง ครม.สัญจร หนองบัวลำภู“ศรีสุวรรณ” เดินหน้าสอบเตรียมไปยื่นร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ให้ไต่สวนเอาผิด “เศรษฐา-แพทองธาร” กรณีให้-รับผ้าขิดสลับหมี่เป็นของขวัญ มูลค่าเกิน 3,000 บาทเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ขณะที่‘แพทองธาร’แถลงเคลียร์งบ‘ซอฟต์พาวเวอร์’6ธ.ค. ปัดตอบอาการ‘ทักษิณ’

วันที่ 5 ธันวาคม 2566 นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เปิดเผยถึงกรณีมีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ที่ จ.หนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาเดินชมบูธโอทอปต่างๆ ของชาวบ้าน โดยที่บูธของชาวโนนสัง นายกรัฐมนตรีได้ควักเงินส่วนตัวอุดหนุนซื้อผ้าทอขิดสลับหมี่สีชมพู ที่ปักเป็นชื่อ “อุ๊งอิ๊ง ชินวัตร” จำนวน 6,000 บาท ต่อหน้าประชาชนและสื่อมวลชน โดยจะนำไปฝาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรองประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น

นายศรีสุวรรณ ระบุต่อไปว่า กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายการให้-รับของกำนัลหรือของชำร่วยเกินกว่า 3,000 บาท ต้องห้ามตามประกาศของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชัดเจน องค์การรักชาติ รักแผ่นดิน จึงจะไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ในวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 น. เพื่อไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดบุคคลทั้งสองตามครรลองของกฎหมายต่อไป.

เคลียร์งบซอฟพาวเวอร์

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้พิจารณางบประมาณกว่า 5,000ล้านบาทของโครงการซอฟต์พาวเวอร์ใหม่ หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ว่า เป็นงบที่มากเกินไป โดยนางสาวแพทองธารกล่าวสั้นๆ ว่า จะให้สัมภาษณ์ในวันพรุ่งนี้ (6 ธ.ค. 66) น.ส.แพทองธาร ยังปฏิเสธให้สัมภาษณ์ถึงอาการป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยยิ้มและส่ายหน้า พร้อมกระดิกนิ้วชี้ไปมาเชิงปฏิเสธการตอบคำถาม

พท.จัดสัมมนา6-7ธ.ค.ไม่มีนิรโทษกรรม

นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงการสัมมนาพรรคเพื่อไทย ที่จ.นครราชสีมา ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 6-7ธันวาคม ว่า เป็นการให้สมาชิกภายในพรรคได้พบปะกัน เพราะเราทิ้งช่วงห่างการสัมมนาพรรคมานานพอสมควรและพรรคเพิ่งมีกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่เข้ามา คงจะมีกิจกรรมระดมความคิดถึงสิ่งที่สมาชิกพรรคแสดงออกว่าอยากเห็นอนาคตของพรรคเป็นอย่างไร ขณะนี้พรรคพรรคมีสมาชิกที่แบ่งเป็นกลุ่มได้ 3ส่วนใหญ่ ๆ คือ ส.ส.รัฐมนตรีในสัดส่วนพรรคและข้าราชการการเมือง ซึ่งจะได้ร่วมพูดคุยกันเพื่อกำหนดอนาคตของพรรค แต่คงไม่ลงรายละเอียดอะไรมากเป็นพิเศษ

ผู้สื่อข่าวถามถึงร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.) นิรโทษกรรม ที่ระบุว่าพรรคพท.เตรียมเสนอประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง นายสรวงศ์ กล่าวว่า ตอนนี้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคกำลังร่างอยู่ ตนยังไม่เห็นรายละเอียด แต่เมื่อเราเสนอเข้าสภาฯ แล้วจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญขึ้นมา เพื่อพิจารณารายละเอียดของกฎหมายดังกล่าว อยากให้รายละเอียดอยู่ในการพิจารณาของกมธ. มากกว่าการถกกันในห้องประชุมใหญ่ เพราะกลัวประเด็นจะแตกเกินไป อยากให้ตกผลึกในชั้น กมธ.วิสามัญก่อน และหากใครมีข้อเสนอแนะก็ให้เป็นข้อเสนอแนะในกมธ.ไป เมื่อถามถึง กรณีที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่ายังไม่มีการพูดคุยกันภายในพรรคเพื่อไทย นายสรวงศ์ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวทางพรรคมีการศึกษากันอยู่ ส่วนที่นพ.ชลน่านระบุนั้น อาจหมายถึงการหารือของรัฐบาลหรือไม่ แต่สุดท้ายเราต้องหารือร่วมกันอย่างแน่นอน เมื่อถามว่า บางพรรคไม่เห็นด้วยหากการนิรโทษฯจะมีคดีทุจริตรวมอยู่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า จริงๆอยู่ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ซึ่งการร่าง พรบ.นิรโทษกรรมขึ้นมาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ โดยอะไรที่เป็นคดีทางการเมืองที่เป็นเรื่องของความคิด เราเห็นด้วยแน่นอน แต่หากเป็นเรื่องของการทำผิดกฎหมายอื่นๆนั้น ต้องดูในรายละเอียด เมื่อถามว่า จะมีการนำเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าพูดคุยในวันสัมมนาพรรคหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่มี เรื่องนี้อาจจะเป็นการประชุมของทีมผู้บริหารพรรค จากนั้นจะนำเสนอต่อที่ประชุมพรรคต่อไป

‘จตุพร’ฉะรบ.ตระบัตย์สัตย์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์เมื่อวันที่ 4ธ.ค.2566 ว่า กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงความคืบหน้าการแจกเงินดิจิทัลไม่สอดคล้องกัน สะท้อนถึงการตบหน้าดูถูกประชาชนเป็นของเล่นทางอำนาจบริหารประเทศ นายเศรษฐา บอกได้คุยกับ รมช.คลัง แล้วว่าจะส่งร่าง พรบ.กู้เงินให้กฤษฎีกาตรวจสอบ แต่ นายจุลพันธ์ กลับพูดคนละเรื่องว่าเป็นการส่งคำถามให้พิจารณาทางกฎหมายกับการแจกเงินดิจิทัลไม่เกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 5แสนล้านบาท ดังนั้นคำพูดชี้แจงประชาชนจากรัฐมนตรีทั้ง 2 คนจึงกลับไปมา ราวกับเห็นประชาชนเป็นเพื่อนเล่น

นายจตุพร ระบุว่า การให้เหตุผลที่ย้อนแย้งกันนั้น สะท้อนถึงการไม่ให้คุณค่าประชาชน เนื่องจาก รมช.คลัง ตั้งคำถามเพียงแจกเงินดิจิทัลขัดแย้งกับกฎหมายเงินตราหรือไม่ แต่ยังไม่เป็นที่ยุติ เพราะมี พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทอีก ถ้าไม่มีเงินก็แจกเงินดิจิทัลไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นทำไมถึงไม่ถามการกู้เงินกับการแจกเงินดิจิทัลมีความสัมพันธ์กัน ควรส่งคำถามถึงกฤษฎีกาให้ควบคลุมเป็นที่ยุติในคราวเดียวกันได้

“การแจกเงินดิจิทัลเริ่มต้นไม่มีความตรงไปตรงมา หลอกตั้งแต่ปก และไม่ตรงปกสักอย่าง แล้วมารอคำตอบจากกฤษฎีกา ทั้ง รมว.คลัง กับ รมช.คลัง ก็พูดกันคนละทาง ซึ่งชี้ได้ว่าประเทศไร้ระบบและไม่เคารพประชาชนตามที่รับปากไว้ แต่ไปทำอีกอย่างแสดงถึงการดูแคลนประชาชน” นายจตุพร กล่าว

อย่าถ่วงรั้งงบประมาณ

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า การส่งคำถามกับกฤษฎีการนั้น ควรถามให้ครบทุกประเด็นที่สัมพันธ์กัน ทั้งการแจกเงินดิจิทัลผิดกฎหมายการเงินหรือไม่ และกู้เงินมาแจกทำได้หรือไม่ เข้าข่ายเร่งด่วน วิกฤตตามกฎหมายวินัยการเงินการธนาคาร ม.53 หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องถามให้จบทุกกระบวนการที่สัมพันธ์กันดัวย

นอกจากนี้การดึงร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายปี 67 ที่รัฐบาลเพิ่งพิจารณากรอบวงเงิน ประมาณ 3.59 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 4ธ.ค.2566 นั้น สงสัยว่าการถ่วงรั้งงบประมาณไว้ต้องการให้เกิดวิกฤตหรือไม่ ทั้งที่หลักการบริหารประเทศอันดับแรกต้องให้ความสำคัญกับงบประมาณแผ่นดิน เพื่อจะมีเงินไปพัฒนาประเทศ แต่รัฐบาลกลับทำให้เกิดความล่าช้าและหาสาเหตุไม่เจอ

“สิ่งสำคัญรัฐบาลต้องการอะไร อยากให้เกิดวิกฤตหรือเปล่า ซึ่งการดึงร่างงบประมาณ 67 ไว้เป็นความแปลกประหลาดที่สุด ไม่แตกต่างจากการจะส่งคำถามถึงกฤษฎีกากรณีเงินดิจิทัลเพียงครึ่งเดียว คือ ถามแต่เงินดิจิทัล แต่ไม่ถามเรื่องเงินกู้ที่สะท้อนถึงความวิกฤตไปด้วยเลย” นายจตุพร กล่าว

นายกฯลุยเมืองกาญจนบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มีกำหนดการลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ในวันที่ 9 ธ.ค. โดยเวลา 11.00 น. นายกฯ ติดตามความคืบหน้าเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ที่ทางแยกต่างระดับท่ามะกา (ทางหลวงหมายเลข 3394)/ทางแยกต่างระดับท่าม่วง (ทางหลวงหมายเลข 3081) จากนั้น นายกฯ ออกเดินทางไปยังบ้านพักของ นายศักดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี เขต 4 พรรคเพื่อไทย ก่อนออกเดินทางไปยังสำนักงานเทศบาลปากแพรก อ.เมือง เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากบริเวณถนนชุมชนเมืองกาญจน์ ก่อนที่เวลา 14.00 น. นายกฯ จะเป็นประธานประชุมหารือแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาภาพรวมจังหวัดกาญจนบุรี ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดกาญจนบุรี และเวลา 15.00 น. นายกฯ เยี่ยมชม “สัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควประจำปี 2566” ที่บริเวณลานการแสดงแสง เสียง สะพานข้ามแม่น้ำแคว อ.เมือง

ค่ำบินต่อไปเชียงราย

จากนั้นเวลา 16.30น.นายกฯ จะออกเดินทางต่อไปยังท่าอากาศยานกำแพงแสน จ.นครปฐม เพื่อเดินทางขึ้นเครื่องไปยังท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เป็นประธานเปิดงานมหกรรมศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ Thailand Biennale, Chiang Rai 2023 ที่หอศิลปร่วมสมัยเมืองเชียงราย และร่วมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ชมริ้วขบวน และเยี่ยมชมผลงานศิลปะที่จัดแสดงและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในบริเวณงาน ก่อนเดินทางกลับ กทม.

หนุนอภิสิทธิ์นั่งหัวหน้าปชป.

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก “เทพไท เสนพงศ์-คุยการเมือง” ว่า อภิสิทธิ์ คือทางรอดของ ประชาธิปัตย์ การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ครั้งที่ 3 ในวันที่ 9 ธ.ค. นี้ เชื่อว่าจะได้ตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่อย่างแน่นอน จะไม่มีเรื่ององค์ประชุมล่มครั้งที่ 3 อีกแล้ว เพราะครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมองค์ประชุมสำรองไว้ เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินองค์ประชุมไม่ครบ ซึ่งไม่เคยมีการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน และถ้าดูจากกระแสข่าวพบว่า มีผู้เสนอตัวเข้าแข่งขันเป็นหัวหน้าพรรค 2 คนคือ นายนราพัฒน์ แก้วทอง กับ น.ส.วทันยา บุนนาค ซึ่งต่างก็มีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกัน ถ้าหากดูจากกระแสภายนอกพรรค จะเห็นได้ว่า คะแนนนิยมของ น.ส.วทันยา มีเหนือกว่านายนราพัฒน์ แต่ถ้าดูกระแสความนิยมภายในพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหวตเตอร์ที่เป็น สส. นายนราพัฒน์จะมีคะแนนเหนือกว่าหลายขุม เว้นแต่จะมี สส. ซึ่งเป็นโหวตเตอร์ที่มีน้ำหนักคะแนนมากที่สุด จะปันใจไปเลือก น.ส.วทันยา มากขึ้นเท่านั้น

นายเทพไท ระบุอีกว่า ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่าของพรรคประชาธิปัตย์ ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี เป็นคนไม่มีอนาคตทางการเมือง และไม่หวังผลตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ขอแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่า คนที่เหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และสามารถกอบกู้พรรคประชาธิปัตย์ให้กลับมาเป็นที่นิยมได้ คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้น ซึ่งความเห็นของตนไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ตนมีความสนิทสนมกับนายอภิสิทธิ์เป็นการส่วนตัว หรือเคยเป็นโฆษกประจำตัวให้นายอภิสิทธิ์มาก่อน แต่จะสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ด้วยเหตุผลดังนี้คือ 1.เป็นคนที่มีจุดยืนทางการเมืองชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องหลักการประชาธิปไตย ซึ่งตรงกับอุดมการณ์ของพรรคข้อ 4 คือ ต่อสู้กับเผด็จการทุกรูปแบบ และมีบุคลิกตรงกับสโลแกนเดิมของพรรค คือ ประชาธิปัตย์ซื่อสัตย์ มืออาชีพ 2.เป็นคนมีสัจจะวาจา “คำไหน คำนั้น” ตัวจริง เมื่อพูดหรือประกาศทางการเมืองอย่างไร ก็ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่มีการเลี่ยงบาลี หรือศรีธนญชัย แต่อย่างใด ซึ่งหาได้ยากในหมู่นักการเมืองยุคปัจจุบัน

ฐานเสียงในกทม.-ภาคใต้

นายเทพไท ระบุอีกว่า 3.สามารถเชื่อมต่อ เติมเต็มช่องว่างของกลุ่มคนภายในพรรค ได้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าคนรุ่นเก่า รุ่นกลางหรือรุ่นใหม่ เป็นที่ยอมรับ มีบารมี หรือภาวะผู้นำเพียงพอ ให้คนในพรรคยอมรับได้ 4.คะแนนนิยมหรือฐานเสียงของพรรค ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯและภาคใต้ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ยังเป็นที่นิยม ซึ่งสามารถดึงฐานเสียงเหล่านี้กลับมาสู่พรรคได้โดยเร็ว 5.ฐานเสียงเดิมของพรรค ที่เคยเลือกพรรคมาก่อน ประมาณ 11 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางและกลุ่มอนุรักษนิยม ครั้งที่ผ่านมา กลุ่มชนชั้นกลางส่วนหนึ่งหันไปเลือกพรรคก้าวไกล ส่วนกลุ่มอนุรักษนิยมส่วนใหญ่ หันไปสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคประชาธิปัตย์จึงเหลือคะแนนเพียง 9 แสนเสียงเท่านั้น ซึ่งตกต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรค จะกลับมาสนับสนุนพรรคเหมือนเดิม

เชื่อมาร์คกอบกู้พรรคได้

นายเทพไท ระบุว่า 6.ไม่มีข้อสงสัยในภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ว่าสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ เพราะเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน และอายุยังไม่ถึง 60 ปี ซึ่งยังน้อยกว่านายเศรษฐา ทวีสิน มีความรู้ความสามารถในการนำเสนอประเด็นทางการเมืองได้แหลมคมมากกว่านักการเมืองทุกคนในยุคนี้ 7.พรรคจะเติบโต เรียกศรัทธาและความนิยมกลับคืนมาได้ ด้วยบทบาทการเป็นพรรคฝ่ายค้าน ที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารได้อย่างเข้มแข็ง นายอภิสิทธิ์เป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดในการนำพรรค แสดงบทบาทในฐานะฝ่ายค้านให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน และเรียกศรัทธากลับคืนมาได้เร็วที่สุด

“คุณอภิสิทธิ์ไม่ใช่ยาวิเศษ ถ้ากลับมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว จะทำให้พรรคเติบโตแบบก้าวกระโดด เป็นพรรคการเมืองที่มี สส.เกิน 100คนเหมือนในอดีต แต่เชื่อว่าสามารถนำพาพรรคค่อยๆ เติบโตทางการเมืองขึ้นได้ตามลำดับ เพิ่มจำนวน สส.ได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นพรรคหลัก หรือขั้วการเมืองได้อีกในอนาคต” นายเทพไท ระบุ