"กรณ์"ชี้หลากปัญหา! ทำไทยดิ้นไม่หลุด"กับดักรายได้ปานกลาง" ห่วงการเมืองเจอทั้งซื้อเสียง-ปั่นกระแส
เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566 นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต เป็นพิธีกร ในประเด็นการนำพาประเทศไทยออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ว่า ก่อนอื่นต้องจีโจทย์ให้แตกว่าสถานภาพ ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร โดยตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกมองเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งสำหรับนักลงทุนจะมองประเทศกลุ่มนี้ว่ามีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดและนิยมเข้าไปลงทุน
แต่ปัญหาคือโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป โดยในอดีต ปัจจัยที่กำหนดโอกาสในการพัฒนาของประเทศคือจำนวนแรงงานที่มากและทำงานด้วยค่าจ้างที่ไม่สูง ตลอดจนมีนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุน แต่ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ไม่ใช้ปัจจัยผลักดันเศรษญกิจอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นเทคโนโลยีซึ่งประเทศไทยไม่มี ประเทศไทยเป็นเพียงผู้ใช้งานเทคโนโลยี ขณะที่ประเทศซึ่งเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี มีเพียง 2 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตอยู่แล้ว คือสหรัฐอเมริกากับจีน อย่างเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั้ง 2 ประเทศกำลังแข่งขันกันอยู่
ดังนั้นจึงมีคำถามกลับมาว่าอะไรคือบทบาทของประเทศไทย จะเป็นเพียงผู้บริโภคสินค้าต่อไป หรือจะไปด้านใดที่ทำให้รายได้ของคนไทยขยับจากรายได้ปานกลางเป็นรายได้สูง เรื่องนี้เป็นความท้าทายมาก เพราะในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา ประเทศที่สามารถผลักดันตนเองจากประเทศยากจนสู่ประเทศรายได้ปานกลางและไปถึงการเป็นประเทศร่ำรวย เกือบทุกกรณีใช้อุตสาหกรรมเป็นตัวผลักดัน แต่สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันเราไมได้เก่งในภาคอุตสาหกรรม แต่เก่งในด้านบริการ และยังไม่มีประเทศใดที่เราสามารถเรียนรู้ได้ หรือมีประเทศใดที่ร่ำรวยขึ้นมาจากเด้านบริการล้วนๆ
“โครงสร้างเศรษฐกิจมันเปลี่ยนไปเสียจนผมคิดว่าเราอิงกับรูปแบบเดิมๆ หรือประสบการณ์เดิมๆ อย่างเดียวไม่ได้ เราต้องอ่านเกมนี้ให้ขาด ซึ่งถ้าเรามองว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ บริการคือสิ่งที่เราถนัด และเกษตรด้วย เพราะอาหารอย่างไรก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญ แล้วประชากรของเราอาจจะเริ่มลดลงก็จริงซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง แต่ประชากรโลกยังเพิ่มขึ้นอยู๋ จาก 7 พันกว่าล้านเดี๋ยวก็จะเป็น 8 พันล้าน จะเป็นหมื่นล้านคน ก่อนที่จะเริ่มลดลง อันนี้คือตามพยากรณ์ของธนาคารโลก ฉะนั้นความต้องการอาหารมีแน่ แต่พื้นที่การปลูกอาหารมันไม่ได้เพิ่มขึ้นแน่นอน” นายกรณ์ กล่าว
นายกรณ์ กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์นี้ประเทศไทยจะได้ประโยชน์ แต่ประเทศไทยก็ต้องปฏิรูปอย่างจริงจัง เช่น ในภาคเกษตร มีทั้งกระบวนการผลิต การขาย การแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมนี้ และการสร้างมูลค่าเพิ่ม อีกด้านหนึ่ง หากมองไป 40 ปีก่อน ที่นานาชาติเข้ามาลงทุนในไทยเป็นจำนวนมาก นั่นเพราะประเทศไทยยังมีแรงงานล้นเหลือ แต่ปัจจุบันประเทศไทยต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวเพราะไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย จำนวนคนไทยที่เป็นวัยทำงานเริ่มน้อยลง
ดังนั้นคนที่ยังทำงานอยู่ก็ต้องขยันขึ้น แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะเวลาในแต่ละวันมีจำกัด กับอีกประการหนึ่งคือต้องมีเทคโนโลยีเจ้ามาช่วยให้คนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สุดท้ายแรงงานก็ต้องเก่งขึ้นด้วย ซึ่งก็ต้องกลับไปดูเรื่องการศึกษา โดยสรุปหากตนจะตอบคำถามว่ารู้สึกอย่างไรกับอนาคต ตราบใดที่ตนยังเห็นการศึกษาเป็นแบบที่เป็นอยู่ ยังเห็นความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส คือประเทศไทยมีปัญหาซ้อนกันหลายเรื่อง หรือหากมองในมุมทางเศรษฐกิจ ที่น่าเป็นห่วงสำหรับตนคือเราเป็นประเทศที่โตช้าและเหลื่อมล้ำมาก ซึ่งหากมี 2 อย่างนี้ควบคู่กันบอกเลยว่าเหนื่อย
ส่วนความพยายามของรัฐบาลที่ไปดึงนักลงทุนต่างชาติที่เป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเข้ามา แม้จะเป็นเรื่องดีแต่ยังไม่ตอบโจทย์ สิ่งสำคัญคือคนไทยต้องเก่งขึ้นและมีโอกาสมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณจากผู้มีอำนาจว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยเก่งขึ้นและการแข่งขันมีความเป็นธรรม โปร่งใสและชัดเจนมากขึ้น และทำให้ปัญหาการทุจริตรวมถึงระบบอุปถัมภ์ลดน้อยลง
“กฎหมายแน่นอนสำคัญ แต่ผมว่าต้องยอมรับก่อนว่าหนึ่งในตัวฉุดโอกาสของประเทศไทยคือประเด็นปัญหาเรื่องความลักลั่นทางด้านโอกาส ตั้งแต่โอกาสเข้าถึงทุน โอกาสในการแข่งขัน โอกาสการเข้าถึงใบอนุญาตหลายๆ เรื่อง แล้วถ้าถามผมว่าแล้วทั้งหมดนี้แก้อย่างไร อะไรเป็นตัวแปรให้เรื่องที่เรามีความกังวล การศึกษาบ้าง คอร์รัปชั่นบ้าง มันเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีได้ ผมว่าทั้งหมดก็ไม่หนีเรื่องการเมือง ดังนั้นการเมืองมันต้องดีขึ้น” นายกรณ์ ระบุ
นายกรณ์ ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่ได้หมายความถึงให้ไปปฏิรูปการเมืองแล้วไม่ต้องทำอย่างอื่น เพราะการเมืองส่วนหนึ่งก็โยงกับการศึกษาของประชาชน แต่การเมืองที่เห็นในปัจจุบัน ตนก็ยังไม่อยากใช้คำว่าสิ้นหวัง แต่รู้สึกว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก หลายคนอาจไม่อยากเข้ามายุ่งกับการเมือง เช่น หากยกตัวอย่างของตนคือเรื่องเงินที่ต้องใช้ ตนอยู่จุดนี้มา 20 ปี เห็นการเปลี่ยนแปลง และหากจะให้พูดตรงๆ ช่วงที่เปลี่ยนมากคือช่วงที่ทหารมีอำนาจและต่อมาจนถึงยุคปัจจุบัน เรื่องเงินทำให้คนที่มีใจและมีความคิดแต่ไม่มีเงินถูกตัดสิทธิ์ไปจากการเข้ามาทำงานการเมือง
แต่เรื่องนี้ก็เป็นปัญหาของทุกคน อย่างประชาชนก็ไมได้เข้มแข็งพอที่จะต้านทานอิทธิพลการใช้เงินในระบบการเมือง คำถามต่อไปคือเงินนี้มาจากไหน ส่วนหนึ่งมาจากการทุจริต แต่อีกส่วนก็มาจากนายทุนที่หวังประโยชน์จากอำนาจการเมืองซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าได้ประโยชน์จริง นี่คือยุทธศาสตร์การลงทุนที่คุ้มค่ามาก เพียงแต่ไม่ได้ทำให้ประเทศดีขึ้นเท่านั้นเอง อีกทั้งการลงทุนยังเพิ่มขึ้นและบีบพื้นที่ของคนที่ไม่ต้องการแข่งขันด้วยวิธีการแบบนี้ให้ไม่มีที่ยืน
ถึงกระนั้นตนก็ต้องขอพูดให้ครบว่าไม่ใช่มีแต่เรื่องการเมืองอย่างดียว อย่างมีพรรคการเมืองบางพรรคที่ไม่ได้มีการซื้อเสียงเป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่อาศัยการสร้างกระแส ตนไม่ต้องเอ่ยชื่อก็คงจะรู้กันว่าพรรคไหน เรื่องนี้หากมองในมิติเดียวก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมที่สามารถฝ่าด่านกระสุนมาจนได้รับชัยชนะ แต่อีกมุมหนึ่ง วิธีการสร้างกระแสนั้นก็ทำให้หลายคนทำใจไม่ได้ เช่น สิ่งที่พูด สิ่งที่แสดงออก โดยเฉพาะกลไกการทำลายล้างผ่านสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) เพื่อให้ได้ชัยชนะและชิงกระแสมา ก็มองว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกัน
และต้องบอกว่าวิธีการแบบนี้ไม่ใช่ไม่ใช้เงิน ตรงกันข้ามเป็นการใช้เงินจำนวนมหาศาลด้วย เพียงแต่เป็นการใช้เงินในอีกรูปแบบหนึ่ง ตอนนี้จึงมีทางเลือกเพียง 2 ทาง หากไม่ใช้เงินเพื่อซื้อเสียงกันดื้อๆ ก็ใช้เพื่อซื้อการปั่นกระแสสร้างความเกลียดชัง ซึ่งไม่ว่าแบบใดก็เป็นการบ่อนทำลายสังคม และเอาจริงๆ ในอีกฝั่งก็สร้างกระแสแบบเดียวกัน เพียงแต่ฝั่งที่ชนะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่า พูดในสิ่งที่โดนใจฐานเสียงมากกว่า
“แต่กระแสทั้งหมดมันเป็นกระแสการเปลี่ยรแปลงที่เราเห็นอยู่ในประเทศอื่นด้วยนะ ของเรามันหนักตรงที่มีเรื่องทั้งซื้อ (เสียง) ทั้งปั่น (กระแส) คนอื่นเขาจะพบประเด็นปัญหาการปั่นมากกว่า ซึ่งก็น่าเป็นห่วงอยู่” อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี