‘พอช.’ชี้แจงโครงการบ้านมั่นคงซอยงามวงศ์วาน59 หลังถูก‘ศรีสุวรรณ’จี้ตรวจสอบ
26 ม.ค. 2567 นายธนัช นฤพรพงศ์ รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. กล่าวในรายการ “แนวหน้าTalk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ซึ่งมี นายบุญยอด สุขถิ่นไทย เป็นพิธีกร ในประเด็นที่นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน และนายกสมาคมต่อต้านโลกร้อน ตั้งคำถามถึงโครงการบ้านมั่นคงที่ก่อสร้างบ้านจำนวนมาก มีการตัดต้นไม้หลายต้น ในซอยงามวงศ์วาน 59 หรือชุมชนริมคลองเปรมประชากร ข้างวัดเทวสุนทร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โดยมีการให้นายศรีสุวรรณ โฟนอินเข้ามาพูดคุยพร้อมกันด้วย
ซึ่งโครงการบ้านมั่นคงที่เกิดประเด็นขึ้นมานั้น นายศรีสุวรรณ ระบุว่า โครงการบ้านมั่นคงชาวบ้านไม่คัดค้าน แต่มีคำถามว่าเหตุใดไม่ไปทำบริเวณที่มีปัญหาการบุกรุกพื้นที่ริมคลอง คือบริเวณข้างวัดเทวสุนทร แต่กลับมาวางแผนโครงการตั้งแต่ปากซอยงามวงศ์วาน 59 ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างเปล่า เป็นพื้นที่สีเขียว มีต้นไม้ขนาดใหญ่ตลอดแนว แต่โครงการบ้านมั่นคงได้เช่าที่ดินของกรมธนารักษ์เพื่อเตรียมก่อสร้างบ้านตั้งแต่ปากซอยเข้าไป โดยจะสร้างบ้านประมาณเกือบ 100 ยูนิต แต่ชาวบ้านที่มีปัญหาบุกรุกริมคลองมีเพียง 50-60 หลังคาเรือนเท่านั้น
โดยซอยงามวงศ์วาน 59 นั้นมีความยาวประมาณ 700-800 เมตร ตนเห็นว่าควรไปสร้างบริเวณช่วงเมตรที่ 600-700 ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ติดกับวัดเทวสุนทร ก็น่าจะพอแล้ว จึงมีคำถามว่าการสร้างบ้านเกินกว่าจำนวนครัวเรือนเป้าหมายนั้นมีผลประโยชน์อะไรหรือไม่ นอกจากนั้น การไม่ตั้งในพื้นที่ใกล้ชุมชนเดิม เพราะเกรงใจบ้านมีรั้วของคนมีฐานะดี ประมาณ 2-3 หลัง คือสร้างแล้วจะบดบังทัศนียภาพของบ้านเหล่านั้นหรือไม่
ประการต่อมา ตามนโยบายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ต้องการให้มีสวนสาธารณะสำหรับชุมชนเมือง เรียกว่า “สวน 15 นาที” ซึ่งพื้นที่ปากซอยงามวงศ์วาน 59 ตนเห็นว่าเหมาะสมกับการทำนโยบายนี้ เพราะบริเวณดังกล่าวมีทั้งบ้านมีรั้ว ชุมชนที่กำลังจะเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคง รวมถึงที่พักของพนักงานสำนักการระบายน้ำ กทม. เหตุใดจึงต้องตัดต้นไม้ออกเพื่อนำที่ดินไปทำบ้านมั่นคง
ซึ่ง นายธนัช ชี้แจงว่า ข้อมูลเรื่องจำนวนครัวเรือนที่นายศรีสุวรรณกล่าวถึงนั้นถูกต้อง คือมี 50 ครัวเรือน อยู่ในจุดที่แออัด แต่ถัดออกมาก็มีบ้านเรือนประชาชนที่รุกล้ำเช่นกัน เพียงแต่อาจไม่ได้อยู่ริมคลอง คืออยู่ถัดเข้าไปด้านใน กลุ่มนี้จะมี 15 ครัวเรือน ดังนั้นมีครัวเรือนที่มีปัญหาอยู่ทั้งหมด 65 ครัวเรือน ส่วนคำถามว่าเกรงใจบ้านมีรั้วของคนฐานะดีบริเวณนั้นหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ใช่ เพราะผังโครงการนั้นผ่านบ้านดังกล่าวด้วย แต่ถึงจะใช้พื้นที่ตรงนั้นแล้วก็ยังไม่พออยู่ดี เพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องเว้นระยะห่างระหว่างบ้านแต่ละหลัง ไม่สามารถสร้างให้แออัดได้
"เรียนว่าในพื้นที่บ้านที่ออกแบบพยายามมีพื้นที่สีเขียวเท่าที่จะมีได้ แล้วก็ในอีกฝั่งหนึ่งหรือตรงสำนักการระบายน้ำก็จะมีเว้นระยะไว้ให้เป็นพื้นที่สีเขียว มีตัวเลขจากสำนักงานเขต (ต้นไม้) ทั้งหมดที่บริเวณทำถนนประมาณ 44 ต้น ส่วนที่ทำถนน ต้องเรียนก่อนว่าโครงการนี้ไม่ได้ทำแต่บ้านอย่างเดียว อาจต้องรื้อบ้านเป็นบ้านมั่นคงใหม่รวมถึงถนนใหม่ด้วย เพราะว่าถนนเดิมกว้างประมาณ 5 เมตร ไม่สะดวกกับการสัญจร ถนนที่เขตทำอยู่ปัจจุบันนี้กว้าง 10 เมตร เป็นผิวจราจร 8 เมตร ข้างทางอีกอย่างละ 1 เมตร มีระบบน้ำด้วย จำเป็นต้องเอาต้นไม้ออก” นายธนัช กล่าว
นายธนัช กล่าวต่อไปว่า ส่วนเรื่องการนำต้นไม้ออกจากพื้นที่เพื่อเตรียมทำโครงการบ้านมั่นคง ตามข้อมูลจากเขต ทราบว่าทางเขตพยายามล้อมต้นไม้เพื่อนำ/ไปปลูก ย้ายไปปลูกที่ใหม่แล้ว 14 ต้น ส่วนที่เหลืออีก 30 ต้น กำลังหาช่องทางอยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการล้อมต้นไม้นั้นมีต้นทุนไม่น้อย ดังนั้นอาจจำเป็นต้องตัดบางต้นออกไปบ้าง โดย 14 ต้น ที่ล้อมและย้ายออกไปแล้ว กทม. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
อย่างไรก็ตาม นายศรีสุวรรณ แย้งขึ้นมาว่าเรื่องย้ายต้นไม้ฟังไม่ขึ้น เพราะการย้ายต้นไม้ 14 ต้นที่ว่าเป็นเพียงฉากบังหน้า ไม่สามารถรับประกันได้ว่าต้นไม้จะอยู่รอด ตนเห็น กทม. ย้ายต้นไม้มาเยอะสุดท้ายตายหมด ซึ่งตนพร้อมพาไปดูว่าย้ายไปจุดไหนแล้วตายอย่างไร โดย นายธนัช ชี้แจงต่อว่า โครงการบ้านมั่นคงเริ่มต้นในปี 2562 กับ 38 ชุมชน ซึ่งรวมถึงชุมชนข้างวัดเทวสุนทรด้วย เริ่มจากการทำความเข้าใจกับประชาชนพร้อมกันในปีดังกล่าว ตามด้วยการสร้างกลุ่มหรือสหกรณ์ของชุมชนขึ้นมา จากนั้นช่วงปลายปี 2563 ก็เริ่มขั้นตอนการเช่าที่ดิน
ซึ่งสำหรับชุมชนข้างวัดเทวสุนทร ประชาชนสนใจเข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงทั้งหมดแบบ 100% ขณะที่กลุ่มที่คัดค้านประกอบด้วยบ้านมีรั้วที่ซื้อบ้านไว้นานแล้ว และอยู่ด้านในเข้าไปไม่ได้ติดกับชุมชน กลุ่มนี้คัดค้านมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน กับอีกกลุ่มที่อยู่ติดชุมชน ในช่วงแรกมีการคัดค้านเพราะกังวลผลกระทบเรื่องถนนหนทาง แต่ทาง พอช. ก็ให้ข้อมูลว่าจะมีการขยายถนนจาก 5 เมตรเป็น 10 เมตร
อีกทั้งถนนยังผ่านหน้าบ้าน เพิ่มความสะดวกมากขึ้นในการเลี้ยวเข้าบ้าน แต่จะลำบากประมาณ 4-5 เดือนช่วงระหว่างก่อสร้าง ในกลุ่มหลังนี้ยังมีผู้ที่ได้รับผลกระทบเพราะเคยใช้ที่ราชพัสดุทำร้านอาหารเล็กๆ บ้าง จอดรถบ้าง ก็ต้องเจรจากันจนท้ายที่สุดได้ข้อยุติแล้วจึงสามารถสร้างถนนได้ ถึงกระนั้น นายศรีสุวรรณ ก็ยังแย้งขึ้นมาอีกว่า สุดท้ายถนน 10 เมตรที่ว่า ก็จะแคบลงเพราะถูกแบ่งไปเป็นที่จอดรถหน้าบ้านอยู่ดี เพราะบ้านมั่นคงหันหน้าบ้านเข้าถนน และคนที่อยู่บ้านนี้ก็ไม่ใช่คนจน เผลอๆ จะกลายเป็นบ้านเช่าเสียด้วยซ้ำ
“ถ้าไม่เชื่อผม ไปดูได้ที่ชุมชนวัดรังสิต บ้านมั่นคงวัดรังสิต ตรงซอยวัดรังสิตหน้าเมืองเอก ถนน 2 เลนกลายเป็นเหลือ 1 เลนไปหมดแล้ว คนที่อ้างว่ายากจนจริงๆ ไม่จนหรอก คนรวยทั้งนั้น มีรถเก๋งรถปิกอัพเต็มหน้าบ้าน ผมยืนยันว่าสร้างบ้านมั่นคงต้องสร้างในจุดที่เขาบุกรุกริมคลอง คือข้างวัดเทวสุนทรเท่านั้น อย่าเอื้อมเข้ามาจนถึงปากซอยในพื้นที่ที่เขาใช้ประโยชน์ในเรื่องเป็นพื้นที่สีเขียว แล้วถ้าทำถนนก็จะกลายเป็นถนนหักศอก เพราะมันไมไปทุบอาคารของบ้านสำนักระบายน้ำ ถ้าแน่จริงทุบอาคารสำนักระบายน้ำสิ แล้วทำถนนให้เป็นเส้นตรงไป” นายศรีสุวรรณ ระบุ
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อไปว่า เรื่องการทุบอาคารสำนักระบายน้ำตนก็เชื่อว่าไม่กล้าทำ และเรื่องนี้ต้องสู้กันถึงที่สุด ตนเพิ่งไปพบเลขารัฐมนตรีมา ซึ่งท่านรับปากจะลงมาดูข้อเท็จจริงในพื้นที่ ขณะที่ นายธนัช อธิบายว่า ตามแนวริมคลองเปรมประชากร มีชุมชนทั้งสิ้น 38 ชุมชน ตามแผนงานที่ พอช. จะทำมี 2 เรื่อง คือ 1.โครงสร้างพื้นฐาน คือการก่อสร้างเขื่อนริมคลอง อุโมงค์ระบายน้ำเปฌนฟลัดเวย์จากคลองไปแม่น้ำเจ้าพระยาโดยตรง และโรงบำบัดน้ำเสีย กับ 2.การจัดระเบียบที่อยู่อาศัยของประชาชนริมคลองจำนวน 38 ชุมชน หรือ 6,386 ครัวเรือน
ซึ่งขณะนี้ดำเนินการไปแล้ว 20 ชุมชน ในจำนวนนี้แล้วเสร็จแบบสมบูรณ์เพียง 2-3 ชุมชน แต่หากมองในภาพรวมตั้งแต่เริ่มโครงการในปี 2562 จะมีความคืบหน้าประมาณร้อยละ 27 หมายถึงมีการก่อสร้างบ้านขึ้นมาและมีคนเข้าไปอยู่อาศัยแล้ว เช่น ชุมชนหลังวัดเสมียนนารี ส่วนที่เหลือก็อยู่ในขั้นตอนต่างๆ ทั้งนี้ หลักการของโครงการบ้านมั่นคงคือจัดระเบียบอย่างไรให้กระทบประชาชนน้อยที่สุด จึงต้องให้สามารถอยู่ที่เดิมได้เพื่อไม่ให้กระทบต่อการประกอบอาชีพและรายได้ รวมถึงการศึกษาของบุตรหลานคนในชุมชนเหล่านั้น
“ในการให้อยู่ที่เดิมได้คือต้องมีการเกลี่ยพื้นที่ บางจุดอาจไม่มีบ้านอยู่หรือมีบ้านน้อย ก็ต้องมีจุดในการเกลี่ยกับจุดที่มีบ้านมากๆ ไปอยู่ด้วยเพื่อให้การวางผังสามารถรองรับ 6,386 ครัวเรือนได้ทั้งสายคลอง 17 กิโลเมตร แปลว่าตรงไหนที่เดิมอาจจะหนาแน่นไม่มากก็อาจเป็นหนาแน่นมากขึ้นมาได้เพื่อเกลี่ย ซึ่งในการทำผังล่วงหน้า เราพบว่าถ้าเกลี่ยแบบนี้เกือบๆ พอกับคน 6,300 ครัวเรือน คือบางชุมชนอยู่พอ เพราะคลองเปรมฯ บ้านอยู่บนบกครึ่งหนึ่ง ในน้ำครึ่งหนึ่ง พอจัดระเบียบแล้ว มีเขื่อนแล้ว ทุกหลังย้ายขึ้นบกหมดเลย นี่คือการเกลี่ย” นายธนัช ระบุ
รอง ผอ.พอช. อธิบายเพิ่มเติมว่า บ้านในโครงการบ้านมั่นคง 1 ครัวเรือนจะได้บ้าน 2 ชั้น 1 หลัง นั่นทำให้พื้นที่ไม่พอและต้องขยายพื้นที่เพิ่มออกไปในแนวระนาบ ซึ่งตามหลักการคือชุมชนใดไม่พอก็ต้องย้ายไปชุมชนข้างเคียงที่มีพื้นที่เหลือ ในกรณีของชุมชนข้างวัดเทวสุนทร หรือซอยงามวงศ์วาน 59 แนวชุมชนมีความยาว 776 เมตร ส่วนจุดที่หนาแน่นที่สุด เป็นบ้านอยู่อาศัย 48 ครัวเรือน และบ้านให้เช่าที่ไม่มีเลขที่อีก 2 ครัวเรือน รวม 50 ครัวเรือน
ส่วนจุดที่นายศรีสุวรรณบอกจะให้เป็นพื้นที่สีเขียว จริงๆ มีบ้านอีก 15 หลัง จุดนี้บุกรุกเหมือนกันเพียงแต่ไม่ได้อยู่ริมคลอง บ้านที่ก่อสร้างก็ไม่ได้ขออนุญาตและอยู่อาศัยกันแบบไม่ถูกสุขลักษณะ ดังนั้นพื้นที่บริเวณนี้ที่จะเข้าโครงการบ้านมั่นคง จึงมีครัวเรือนเป้าหมายทั้งหมด 65 ครัวเรือน นอกจากนั้นยังมีครัวเรือนกลุ่มหน้าวัดเทวสุนทรอีก 9 ครัวเรือน ซึ่งไม่สามารถให้อยู่ที่เดิมได้ ต้องหาพื้นที่ชุมชนข้างเคียงให้ทดแทน ก็เท่ากับเพิ่มมาอีก
นอกจากนั้น กรณีที่นายศรีสุวรรณถามว่าเหตุใดต้องมีสิทธิ์ในการขยายด้วย ตนขออธิบายว่า ครัวเรือนเดิมที่อาศัยนั้นบางครัวเรือนอยู่กันมากกว่า 6 คน ซึ่งในเกณฑ์ของ พอช. ระบุว่า หากครัวเรือนใดมีสมาชิกเกิน 6 คน สามารถขอให้ขยายบ้านเป็นแบบ 2 คูหาได้ ก็มีการขยายไป 23 ครัวเรือน และตนยืนยันว่าไม่มีการเกี๋ยเซี้ยใดๆ เพราะการทำงานมีหลายฝ่ายมาร่วมกัน เช่น ผู้นำชุมชนที่รู้ข้อมูลชุมชนมากที่สุด พอช. สำนักงานเขต ทหารและตำรวจที่อยู่ประจำท้องที่ ไม่ใช่การตัดสินใจของ พอช. เองเพียงหน่วยงานเดียว
ดังนั้นเมื่อรวมครัวเรือนทั้งหมดจึงอยู่ที่ 97 ครัวเรือนในเบื้องต้น แต่ต่อมามีการออกไปจากโครงการ 4 ครัวเรือน ต่อมายังมีอีก 2 ครัวเรือน ที่ขอย้ายไปซื้อที่ดินร่วมกับชุมชนอื่น ปัจจุบันจึงเหลือครัวเรือนบ้านมั่นคงในบริเวณนี้ 91 ครัวเรือน ทั้งหมดเป็นครัวเรือนเดิมที่เคยอยู่กันมาแบบไม่ถูกกฎหมาย โดยผู้เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย 1.ค่าเช่าที่ดินของกรมธนารักษ์ ซึ่งทางกรมธนารักษ์จะมีส่วนลดต่างๆ ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ รวมถึงรับภาระค่าเช่าที่ส่วนกลางของชุมชน แต่รวมๆ แล้วเฉลี่ยหลังละ 100 บาทต่อเดือน
กับ 2.ค่าก่อสร้างบ้าน ซึ่งรัฐมีงบประมาณอุดหนุนให้ส่วนหนึ่ง ประมาณครัวเรือนละ 147,000 บาท หักไป 5 หมื่นบาทสำหรับทำระบบสาธารณูปโภค เช่น ปรับพื้นที่ ระบบไฟฟ้า-น้ำประปา ส่วนอีก 97,000 บาท ที่เหลือ สำหรับไปหาเช่าที่พักชั่วคราวระหว่างการก่อสร้างบ้านมั่นคง แต่อย่างไรก็ไม่พอ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการก็ต้องกู้เงินกับ พอช. โดยราคาบ้านขนาด 4x7 อยู่ที่ราว 5.2-5.5 แสนบาท ขึ้นอยู่กับทำเลและความยากลำบากในการขนย้าย ซึ่งทั้ง 91 ครัวเรือนที่เข้าโครงการ มีการทำสัญญากู้เงิน และ พอช. ก็ทำเรื่องอนุมัติงบประมาณแล้ว รอเบิกจ่ายเท่านั้น
อนึ่ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รายการแนวหน้า Talk ในตอนดัวกล่าว บันทึกเทปไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2567 หรือ 1 วันก่อนหน้าที่นายศรีสุวรรณ จะถูกจับกุมที่บ้านพัก กรณีพัวพันการเรียกรับสินบนจากนายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนให้ตรวจสอบ
ชมคลิปเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tIU6AjtfrJ8
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี