เมื่อเร็วๆ นี้ มีการประชุมสรุปผลสำรวจสถานการณ์สุขภาวะสื่อมวลชนไทย ปี 2566 ที่มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) ร่วมกับ สมาคมผู้สื่อข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้นที่ ห้องซิลเวอร์ รูม 3 โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน กรุงเทพฯ
งานนี้เริ่มต้นโดย นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) บอกว่าในรอบปี 2566 ที่มีข่าวปัญหาสุขภาพของสื่อมวลชนหลายครั้งอย่าง เช่น พนักงานด้านการบันทึกข้อมูลผังรายการโทรทัศน์ TNN เสียชีวิตคาโต๊ะทำงานเมื่อวันที่ 4 ก.พ.2566 หมอบอกว่าสาเหตุมาจากสาเหตุกล้ามเนื้อหัวใจตาย แต่หลานสาวของผู้เสียชีวิตบอกว่าปกติเป็นคนแข็งแรงแต่เป็นคนสูบบุหรี่แต่ที่สำคัญคือทำงานสัปดาห์ละ 6 วัน กลับบ้านดึกบางวันก็กลับเช้า หรือกรณีผู้สื่อข่าวหญิงชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเพราะโหมทำงานล่วงเวลากว่า 159 ชั่วโมง ภายใน 1 เดือน สสส.จึงสนับสนุนมสส.ทำงานร่วมกับสื่อมวลชนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม เช่น การตั้งกองทุนเพื่อดูแลปัญหาด้านสุขภาพของสื่อมวลชน
ด้าน นายอภิวัชร์ เกตุทัต ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ (มสส.) แถลงผลการสำรวจว่าด้านสุขภาพทั่วไปสื่อมวลชน 73% ไม่มีโรคประจำตัว ส่วนอีก 27% มีโรคประจำตัว ส่วนใหญ่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศสูงถึง 28.6% ตามมาด้วยโรคเบาหวาน 17.2% เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจปี 2565 พบว่ามีโรคประจำตัวเพิ่มขึ้น 5.4% มี สื่อมวลชนส่วนใหญ่ 55.88% ทำงานวันละ 6-8 ชั่วโมง รองลงมา 33.53% ทำงานวันละ 9-10 ชั่วโมง และมีสื่อมวลชน 9.41% ต้องทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ สื่อมวลชนส่วนใหญ่ 76.47%ไม่สูบบุหรี่ 14.71% ยังสูบบุหรี่และอีก 8.82% เคยสูบบุหรี่แต่เลิกสูบแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในปี 2565 พบว่าสื่อสูบบุหรี่ลดลง 2.0% สำหรับคนที่ยังสูบบุหรี่มีถึง 64% คิดจะเลิกเพราะอยากจะมีสุขภาพดี สื่อส่วนใหญ่ 88.82% ไม่สูบบุหรี่ไฟฟ้า เพราะเป็นห่วงสุขภาพ รองลงมา23.88% เพราะรู้ถึงอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนคนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 11.18% ให้เหตุผลว่าเพราะไม่มีกลิ่นเหม็น รองลงมาคือ เลิกสูบได้ง่ายและเชื่อว่าไม่ทำให้ติดบุหรี่ ด้านการดื่ม แอลกอฮอล์พบว่า 52.4% ยังดื่มแอลกอฮอล์อยู่ ส่วน 41.8% ไม่ดื่ม เมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในปี 2565 พบว่าดื่มลดลง 10.4% เหตุผลหลักคือเป็นการสังสรรค์และเข้าสังคม ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่ถึง 74.16% ไม่คิดจะเลิกดื่ม ด้านปัจจัยเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุพบว่าสื่อมวลชนที่ขับและซ้อนจักรยานยนต์สวมหมวกกันทุกครั้ง 57.40% สวมบางครั้ง 37.87% และไม่สวมเลย4.73% ในขณะที่การคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับขี่หรือโดยสารรถยนต์พบว่า 87.57% คาดทุกครั้ง มีเพียง 12.43% เท่านั้นที่คาดบางครั้ง ด้านการพนันนั้นส่วนใหญ่ 63.5% ไม่เคยเล่นการพนัน แต่อีก 36.5% เคยเล่นการพนัน มีถึง 48.28ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจในปี 2565 มีการเล่นการพนันลดลง 1.2%
ประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะสรุปตอนท้ายว่าว่าคงต้องมีการจัดการเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาภูมิแพ้อากาศ รณรงค์ลดการบริโภคหวาน มัน เค็ม
ประเด็นสำคัญคือจะต้องลดชั่วโมงการทำงานที่ทำงานหนักมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน หากลยุทธ์เลิกบุหรี่รวมทั้งให้ข้อมูลอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้ากับสื่อมากขึ้น ด้านการดื่มแอลกอฮอล์ต้องหากิจกรรมมาทดแทนการสังสรรค์ เรื่องอุบัติเหตุเร่งรณรงค์เพิ่มการสวมหมวกนิรภัยทั้งคนขับและคนซ้อนมากขึ้น ควรรณรงค์ให้สื่อระมัดระวังในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นการส่งเสริมให้คนเล่นพนันมากขึ้น พร้อมกับเสนอข่าวผู้ประสบปัญหาจากจากการพนันด้วย
ด้าน นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ระบบการดูสุขภาวะของสื่อมวลชนไทยยังไม่มีหลักประกันมากนัก อย่างมากที่สุดก็แค่การดูแลในระดับพื้นฐานคือประกันสุขภาพและการประกันชีวิต คนที่ทำงานด้านสื่อมวลชนไม่น้อยไม่มีแม้แต่เบี้ยความเสี่ยง เช่น กรณีทำข่าวในสถานการณ์เสี่ยงภัย เช่น พื้นที่การชุมนุม ไม่มีการขึ้นค่าตอบแทนมานาน คนทำงานสื่อที่มีประสบการณ์ถูกปลดออกต้องไปประกอบอาชีพอื่นเช่น ขับรถแท็กซี่ ทำให้มีแรงกดดันด้านสุขภาพจิตจนเป็นที่มาของสุขภาพกาย แนวทางแก้ไขคือผลักดันให้เกิดการจัดตั้งสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชน แต่ไม่มีความก้าวหน้าเพราะสำนักข่าวต่างๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญและไม่ให้การสนับสนุน นายกสมาคมนักข่าวฯ จึงปิดท้ายว่า
สุขภาวะสื่อมวลชนไทยทั้งกายและใจจึงอยู่ในสภาพติดลบ
ขณะที่ นายธวานันทภัทร ตั๋นไชยวงค์ ปฏิคมและกรรมการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยสะท้อนว่า สื่อทำงานหนักเกิดความเครียด เกิดปัญหาช่องว่างระหว่างวัยของคนทำสื่อด้วยกัน ทางแก้คือ การหันมาพูดคุยกันให้มากขึ้น องค์กรสื่อต้นสังกัดต้องมีนโยบายสร้างเสริมสุขภาวะในการทำงานให้ดีขึ้น เช่นจัดให้มีการตรวจสุขภาพประจำปี อนาคตสื่อมวลชนต้องพบกับความท้าทายใหม่หลังใบอนุญาตทีวีดิจิทัลหมดอายุในปี 2572 ไม่รู้ว่าจะได้ทำงานต่อไปหรือไม่หากสถานีโทรทัศน์ สถานีข่าว สำนักข่าวต่างๆ ยุติกิจการ
จากนั้นสื่อมวลชนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศสื่ออยากให้สมาคมวิชาชีพสื่อได้เข้ามาดูแลปัญหาเหล่านี้ด้วย ยกตัวอย่างคนทำรายการข่าวเช้าทางโทรทัศน์ต้องทำงานตั้งแต่ตีหนึ่งถึงเช้าเพื่อเตรียมรายการข่าวเช้าเชื่อว่ามีไม่ต่ำกว่า 100 คน ที่มีปัญหาสุขภาพ พร้อมเสนอให้มสส.สมาคมวิชาชีพสื่อและสสส.ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา พร้อมเรียกร้องให้สื่อมวลชนที่ประสบความสำเร็จกลับมาดูแลคนทำสื่อเดือดร้อน
ครับ..ข้อพิสูจน์จากตัวเลขที่สำรวจมาสะท้อนว่าสุขภาวะสื่อปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 คนทำสื่อสูบบุหรี่ลดลง ดื่มแอลกอฮอล์ลดลง เล่นการพนันลดลง สวมหมวกนิรภัยน้อยลงแต่ยังมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งประเทศ จุดที่น่าห่วงคือสื่อมีโรคประจำตัวเพิ่มมากขึ้นจึงเป็นโจทย์ที่ต้องหาทางแก้ไขกันต่อไป
สุดท้ายทุกคนต่างหนุนให้ตั้งกองทุนขึ้นมาดูแลสุขภาพและสวัสดิภาพสื่อ หลังจากนี้จะหารือกันในรายละเอียดต่อไป ก็ขอเอาใจช่วยอีกแรง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี