22 ก.พ.67 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr โดยระบุว่า สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แถลงผลการคำนวณตัวเลขทางเศรษฐกิจล่าสุดว่า ในไตรมาส 4 ปี 2566 เศรษฐกิจโตเพียง 1.7% และคาดว่าปี 2567 จะโตระหว่าง 2.2%-3.3% ลดลงจากที่คาดไว้เดิมคือ 2.7%-3.7%
หลังจากการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของเลขาธิการสภาพัฒฯ นายกรัฐมนตรีก็โพสต์ข้อความในเพจตัวเองทันทีว่า
“น่าจะพูดก่อนการประชุมอาทิตย์ที่แล้วนะครับ ไม่แน่ใจว่าวัตถุประสงค์ของพูดตอนนี้เพื่ออะไร หรือบอกว่าผมทำหน้าที่ของผมแล้วซึ่งความจริงควรจะทำก่อนหน้านี้?"
วิธีการสื่อสารจากนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยถึงเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นการแสดงความแปลกประหลาดอีกประการหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้
ข้อเท็จจริงที่ต้องคำนึงถึงก่อนที่จะตัดสินว่า เศรษฐกิจไทยโตช้ากว่าที่คาดเพราะอะไรก็คือ รัฐบาลเองเลือกที่จะเลื่อนการนำพรบ. งบประมาณแผ่นเข้าสภา ซึ่งควรจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายนของทุกปี เนื่องจากปีงบประมาณเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ไม่ใช่ 1 มกราคม รัฐบาลชุดนี้เริ่มต้นบริหารประเทศตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2566 ซึ่งงบประมาณแผ่นดินปีงบประมาณ 2567 เป็นงบประมาณที่รัฐบาลที่แล้วจัดทำไว้แล้ว รัฐบาลชุดนี้เลือกที่จะนำงบประมาณดังกล่าวมาพิจารณาแก้ไขก่อนนำเข้าสภา ซึ่งในที่สุดก็ไม่ได้แก้ไขอะไรมากนัก แต่ทำให้การเริ่มใช้งบประมาณปี 2567 ต้องเลื่อนการใช้จากวันที่ 1 ตุลาคม 2566 ไปเป็นเดือนพฤษภาคม หรือขณะนี้เห็นว่าจะทำให้เร็วขึ้นเป็นเดือนเมษายน 2567 ล่าช้าถึง 6 หรือ 7 เดือน
จำได้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรจะกลัวมากว่า การพิจารณางบประมาณหากล่าช้าจะทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ทันวันที่ 1 ตุลาคม แต่รัฐบาลชุดนี้กลับเลือกเองที่จะทำให้ช้า ทั้งยังนำมาเป็นข้ออ้างเป็นเหตุผลเพื่อจะผลักดันนโยบาย digital wallet ให้ได้อีกด้วย
ด้วยเหตุดังกล่าว การใช้จ่ายของรัฐบาลจึงถูกจำกัดให้ใช้จ่ายเพียงงบประจำเท่าที่จำเป็น เช่น งบเงินเดือนข้าราชการ และงบดำเนินการของแต่ละกระทรวงทบวงกรม ไม่สามารถใช้งบลงทุนได้
ความล่าช้าของการใช้งบประมาณของรัฐบาล แม้ไม่มีตัวเลขยืนยันที่ชัดเจน แต่ก็มีผลต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไม่น้อยอย่างแน่นอน ดังนั้นการที่เศรษฐกิจไม่ได้เติบโตอย่างที่คาด ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะการตัดสินใจของรัฐบาลเอง จึงไปโทษอย่างอื่นทั้งหมดไม่ได้
อย่าได้คิดว่าการแจกเงินผ่าน digital wallet จะเป็นยาวิเศษที่สามารถทำให้เศรษฐกิจโตได้อย่างยั่งยืน การแจกเงินแบบนี้แม้จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แต่จะอย่างไรก็เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ยิ่งหากต้องกู้เงินมาแจก ยิ่งเป็นมาตรการที่ไม่ว่าจะคิดในมุมใดก็ยิ่งไม่ควรนำมาใช้ เพราะเหตุใดพรรคเพื่อไทยจึงดึงดันไม่น้อยไปกว่าที่พรรคก้าวไกลดึงดันเรื่องการแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
นอกจากเหตุผลที่ว่า เป็นเพราะได้หาเสียงไว้แล้วต้องทำให้ได้ ยังมีคำถามที่ทุกคนยังคาใจอยู่คือ ที่นำนโยบาย digital wallet มาใช้หาเสียง นอกจากต้องการได้คะแนนเสียง ยังมีเหตุผลอื่นใดแอบแฝงอีกหรือไม่ คำถามนี้แม้ได้รับการปฏิเสธ แต่ยังไม่มีการอธิบายด้วยข้อมูลและเหตุผลที่ทำให้สิ้นสงสัยได้เลย พวกเขาจะได้ประโยชน์กันบนความหายนะของประเทศหรือไม่ เราต้องคอยดูกันต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี