ปชป.จัดหนักผลงาน6เดือน
รัฐบาลสอบตก
เหน็บแจกเงินดิจิทัลล้มเหลว
‘สุดารัตน์’สอนมวยนายกฯ
ไร้ฝีมือ-ขาดวิสัยทัศน์แก้ศก.
พท.อัดฝ่ายค้านมีอคติบังตา
“ชนินทร์” รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ 6 เดือน รัฐบาล “เศรษฐา” สอบตกเหน็บเงินดิจิทัลต้องเปลี่ยนเป็นแจก แบงก์กงเต๊กเผาไปใช้ชาติหน้า “สุดารัตน์”สอนมวย นายกฯ ขาดวิสัยทัศน์ชี้การแก้ไขปัญหาไม่ได้อยู่ที่การแจกแจกเงิต แต่ต้องแจกโอกาสเพื่อช่วยคนตัวเล็ก ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)นายชนินทร์ รุ่งแสง อดีตสส.กทม.รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)กล่าวว่าสัปดาห์ที่ผ่านมามีการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆของสภาพัฒน์ฯซึ่งมีตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ จีดีพีที่ลดลง ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2566 เหลือเพียง 1.7%ทั้งปีโต 1.9%
“เป็นเรื่องที่รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน สอบตกและจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเหตุการณ์เกิดในช่วงที่มีอำนาจเข้าบริหารประเทศแล้ว ซึ่งเจาะลึกดูรายละเอียดแล้ว มีตัวเลขที่เป็นบวกอยู่หลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคของเอกชน การส่งออก การลงทุน ยกเว้นส่วนที่รัฐบาลรับผิดชอบ คือ ตัวเลขเงินลงทุนภาครัฐที่ลดลง แม้จะแก้ตัวว่าเป็นเงื่อนไขเหตุการณ์ทางการเมือง ทำให้งบประมาณล่าช้า แต่รัฐบาลต้องรู้ และเตรียมตัวเพราะว่าเข้ามาบริหารประเทศเกือบ 6 เดือนแล้ว ขอให้รัฐบาลตั้งสติ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี อย่ากังวลเรื่องนายกฯเงามากเกินไป และในรายละเอียดของรายงานจะเห็นถึงปัญหาของเศรษฐกิจไทยที่ทำให้ตัวเลขการเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีที่ลดลง ผมต้องย้ำว่า วันนี้ประเทศเราไม่ได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ แต่เรามีปัญหาเศรษฐกิจ”นายชนินทร์ ระบุ
นายชนินทร์ กล่าวว่าเชื่อว่านโยบายการเงินจะได้รับการตอบสนองจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ แบงค์ชาติเร็วๆนี้ โดยการเริ่มต้นลดดอกเบี้ย แต่ไม่ควรคาดหวังผลระยะสั้น 3เดือน หรือ 6 เดือนนี้ เพราะการลดดอกเบี้ยได้ผลจริงๆก็ควรจะไม่ต่ำกว่า50สตางค์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในระยะสั้นนี้ พร้อมมองว่า หากแบงค์ชาติยอมลดดอกเบี้ยจริง ผู้ประกอบการรายใหญ่ จะได้ประโยชน์ทันที ส่วนรายย่อยต้องรอเพราะผู้ให้กู้มองความเสี่ยงเหมือนเดิม
ดักคออย่าโยนบาป‘แบงค์ชาติ’
นายชนินทร์ ย้ำว่าดังนั้นนายกรัฐมนตรีต้องมีสมาธิใช้สำนึกความรับผิดชอบ ความรู้ความสามารถ และอำนาจในมือแก้ปัญหาได้ เพราะการลดดอกเบี้ย ไม่ใช่ทางเดียวที่ใช้แก้ปัญหาได้ อีกรัฐบาล อย่าพยายามโยนบาปให้แบงค์ชาติอีกเลย ในเรื่องการลดดอกเบี้ย โดยสิ่งที่เหลือ คือ อำนาจรัฐบาลที่จะเร่งคุยกับธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องผ่อนปรน LTVหรือหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาได้ และนโยบายการคลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องงบประมาณอย่างเดียว ยังมีเรื่องอื่นทั้งเรื่องของภาษีต่างๆซึ่งอำนาจอยู่ที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการให้สอดคล้องกัน ซึ่งชัดเจนว่าผลของตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาไม่ดีเป็นผลจากการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ที่ผิดพลาดโดยเฉพาะเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดีกว่านี้ ทั้งที่ปัจจัยบวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการท่องเที่ยว การส่งออก การลงทุน การบริโภคดีขึ้น อัตราการว่างงานต่ำที่สุดในช่วง 32 ไตรมาส
แนะ‘เศรษฐา’เบา2เรื่อง-เร่ง3เรื่อง
“ขอเสนอแนะนายกรัฐมนตรี ให้ เบา 2 เรื่อง เร่ง 3 เรื่องคือ เบาๆ เรื่องเดินสายต่างประเทศ ควรอยู่ในประเทศ ตามงานต่างๆ ให้เรียบร้อยก่อน และควรเบาๆ เดินสายตัดริบบิ้นเปิดงานซอฟต์พาวเวอร์ ที่ไม่รู้จะได้ผลเมื่อไหร่ ตัวชี้วัดคืออะไร หลังล่าสุดมีการอนุมัติงบประมาณถึง 5,000 ล้านใช้ในโครงการนี้ ส่วนเรื่องที่อยากให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการเร่งด่วน คือ เร่งการใช้จ่ายงบประมาณที่ต้องเร่งรัด แต่ไม่รั่วไหล เร่งดูแลกลุ่มคนรายได้น้อย โดยเฉพาะเรื่องค่าของชีพ และปฏิรูปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อการแข่งขัน ในอนาคตต่อไปของประเทศ”นายชนินทร์ กล่าว
รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวอีกว่าเรื่องสำคัญในประเด็นดิจิทัลวอลเล็ต ที่ยังมีความไม่แน่นอน กลับไป กลับมา และต้องมีคณะกรรมการพิจารณาเรื่องที่เหมือน จะเป็นเรื่องเดิมที่เคยพิจารณามาแล้ว ถือเป็นการนับหนึ่งใหม่ อีกครั้ง จึงขอแนะนำให้ปรับไปอยู่ในแผนสองได้แล้วไม่เช่นนั้นประเทศ ประชาชนจะเดือดร้อนในระยะสั้น 3 เดือน 6 เดือนนี้แน่นอน หากมีความไม่แน่นอนต่อไป ชาวรากหญ้าตายก่อนอาจต้องเปลี่ยนจากแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เป็นแบงค์กงเต็ก เผาให้ใช้ชาติหน้าแทน
‘สุดารัตน์’เหน็บนายกฯไร้วิสัยทัศน์
ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย(ทสท.)แสดงความห่วงใยหลังจากได้ฟังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯแถลงวิสัยทัศน์ประเทศไทย ในหัวข้อ IGNITE Thailandโดยเห็นว่านายกฯพยายามเสนอวิธีแก้ปัญหาหลายๆปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคไทยสร้างไทยก็เห็นด้วยและจะสนับสนุนในหลายประเด็น แต่ที่นายกฯพูดเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นที่ปลายเหตุ ที่เรายังมองไม่เห็นอนาคตของประเทศไทย เพราะนายกฯไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาโครงสร้างหลักๆ ที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ในการฉุดรั้งการพัฒนาทางเศรษฐกิจทำให้เศรษฐกิจไทย“โตช้า โตต่ำ”กว่าศักยภาพของประเทศและไม่สร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจไทย
เสนอ5แผนงานแก้โครงสร้างสำคัญ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวต่อว่า พรรคไทยสร้างไทย ขอเสนอ 5 แผนงาน แก้โครงสร้างสำคัญ ที่ทำให้เศรษฐกิจไทยโตช้าและโตต่ำ คือ 1) การพัฒนาศักยภาพคนไทย ให้ทันวิทยาการของโลกใหม่ เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดถึง 6 ขวบการวิจัยพบว่าเด็กไทยตั้งแต่แรกเกิดจะมี IQ ใกล้เคียงกับเด็กทั่วโลก แต่หลังจาก6 ขวบIQ ของเด็กไทยจะน้อยกว่ามาตรฐานสากลอยู่ 1.8% สาเหตุสำคัญคือเด็กไทยไม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพียงพอ นอกจากนั้น ต้องมีการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาใหม่ทั้งหมดการสอนที่ให้เด็กท่องจำไปแข่งกับ AI เราต้องสอนเด็กไทยให้เป็นผู้ควบคุมและใช้AIให้เป็น ต้องลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษาด้วยการใช้เทคโนโลยีเทคโนโลยี ใช้ครูที่เก่งในวิชานั้นๆ ให้สอนออนไลน์จากกรุงเทพไปถึงยอดดอยได้ เช่นที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ทรงริเริ่มไว้
ลดความเหลื่อมล้ำ-ช่วยคนตัวเล็ก
2) การแก้ไขปัญหาสังคมผู้สูงวัย ปัจจุบันไทยเป็นประเทศ ที่มีผู้สูงวัยเต็มขั้นและจะเป็นประเทศสูงวัยขั้นสุดยอดในปี 2030 หรือมีผู้สูงวัยถึง 28% ของประชากร สถานการณ์ของผู้สูงอายุไทยมีลักษณะ”แก่จนเจ็บ“คือสังคมผู้สูงอายุที่มีแต่โรคสุขภาพไม่แข็งแรง ไม่มีเงินและสวัสดิการยามแก่ชราอย่างเพียงพอต่อการยังชีพ จึงทำให้กำลังซื้อของผู้สูงอายุไทยลดลงพรรคไทยสร้างไทยจึงเสนอบำนาญประชาชน3,000บาทเพื่อแก้ปัญหา สังคมผู้สูงวัย โดยเงิน 3,000บาทจะให้พร้อมหน้าที่ โดยเฉพาะการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง กลับมาทำงานได้ สร้างรายได้ไม่เป็นภาระลูกหลาน และจะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อให้ประเทศ 3) การลดความเหลื่อมล้ำ ช่วยคนตัวเล็ก ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เพื่อใช้เป็นทุนในการตั้งตัว
แก้ปัญหา‘แจกโอกาส’ไม่ใช่‘แจกเงิน’
“ไทยสร้างไทยจึงเสนอให้รัฐบาล“แจกเครติต”ให้ประชาชน วงเงินตั้งแต่10,000-100,000บาท แทนการ “แจกเงินดิจิทัล” ที่ไม่ใช่เงินสด ซึ่งจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงชั่ววูบ แต่ต้องทิ้งภาระให้ลูกหลานต้องใช้หนี้มหาศาลถึง 5 แสนล้าน ช่วยให้คนตัวเล็กได้เข้าถึงความรู้ และเข้าถึงเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ และหาช่องทางการตลาดให้”
4)การแก้กฎหมาย ระเบียบต่างๆที่กดทับโอกาสในการทำมาหากินของคนไทย และเป็นช่องทางที่ทำให้ผู้คนถูกเจ้าหน้าที่รีดไถ 5) มหันตภัย“โลกร้อน”Climate Change เป็นวิกฤตที่กระทบคนตัวเล็กหนักที่สุด รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขอย่างจริงจังแต่ในการแถลงล่าสุด กลับไม่พูดถึง โดยปัญหาดังกล่าวกำลังส่งผลร้ายต่อชีวิต และเศรษฐกิจของคนตัวเล็ก โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมน้ำแล้ง รุนแรงซ้ำซาก ทำให้หนี้สินเกษตรกรกว่า 8ล้านครัวเรือนเพิ่มขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น SMEs กว่า 3 ล้านราย ที่จ้างงานกว่า 15 ล้านคน และยังอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทใหญ่กว่า 2,000 ราย นายกฯยังไม่เคยพูดถึงแผนสนับสนุนให้ SMEs เหล่านี้ พร้อมรับมือกับ Carbon tax ที่กำลังถูกนำมาใช้เร็วๆนี้เลย
นายกฯย้ำวิชั่น8ด้าน
วันเดียวกัน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.การคลังโพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชั่นX (ทวิตเตอร์)ว่า”ไม่ว่าท่านจะเชื่อมั่นในรัฐบาลผม หรือจะเชื่อมั่นในตัวผมหรือไม่ ก็คงไม่สำคัญเท่าท่านต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยนะครับ เพราะผมเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยมีศักยภาพ และสามารถไปได้ไกลว่านี้ ผมจึงเสนอภาพ Vision ของประเทศไทยใน 8 ด้าน ดังที่หลายท่านคงได้รับฟังไปแล้ว ตั้งแต่วันนี้ประเทศไทยจะเริ่มก้าวใหม่ ซึ่งเป็นการก้าวแบบมีกลยุทธ์ครับ โดยเราต้องเสริมเศรษฐกิจให้แข็งแกร่งนําเงินมาสู่กระเป๋าของพี่น้องประชาชน ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนและต้องได้รับสิทธิพื้นฐานที่พึงจะได้ รัฐบาลนี้เริ่มก้าวด้วยการเสนอ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ทุกคนต้องเสมอภาคกันครับสิทธิเสรีภาพในการเลือกประกอบอาชีพก็สำคัญผมว่าหมดเวลาที่จะมาพูดว่าอาชีพไหนดีหรือไม่ดี”
พร้อมยังย้ำอีกว่า“ขณะที่ อากาศต้องสะอาด ยาเสพติดต้องหมดไป ปัญหาหนี้สิน หนี้นอกระบบต้องไม่มี และพี่น้องประชาชนต้องมีที่ดินทำกินด้วยครับ ผมอยากให้เราทุกภาคส่วนรวมพลังกัน พาประเทศไทยไปให้ถึงจุดที่ควรไปถึง ศักยภาพเรามโหฬารผมอยากให้ประเทศไทยโลดแล่นในอนาคตมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และอยากให้ทุกคนมองประเทศไทยแล้วเห็นถึงความสว่างไสว เหมือนที่ผมมองครับ”
8วิสัยทัศน์ดันไทยสู้ผู้นำภูมิภาค
ด้าน นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าการแสดงวิสัยทัศน์ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในหัวข้อ IGNITE Thailand จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง พร้อมเสนอวิสัยทัศน์ผลักดันประเทศไทย เป็น8ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เป็นการยืนยันว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีประสบการณ์การบริหารประเทศมาหลายยุค มีนายกฯที่มีความรู้ ความสามารถ หลายคน เราคิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อคนไทยทุกคน คือ แคมเปญหลักที่เราใช้ในการหาเสียงและยังคงเดินหน้า แม้เป็นรัฐบาลมาเพียง 6 เดือน แต่ผลงานประจักษ์ กลับมาเป็นที่ยอมรับเวทีนานาชาติ
สำหรับวิสัยทัศน์ 8 ด้านโดยนายกฯนั้น มุ่งเน้นการวางรากฐานด้านเศรษฐกิจและอนาคตประเทศไทยไปสู่ผู้นำของภูมิภาค มีการวางช่วงระยะการดำเนินผลสำเร็จและยังมีเป้าหมายหรือตัวชี้วัดความสำเร็จ หรือ KPI ที่ชัดเจน ขณะที่โครงการการลงทุนขนาดใหญ่ นายกฯได้เตรียมการเอาไว้สำหรับการดำเนินการศึกษาอย่างรอบคอบ โดยต้องการการพิจารณาร่วมกันไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานราชการ สภาผู้แทนราษฎร หรือการขอความเห็นที่เป็นประโยชน์จากองค์กรอิสระต่างๆ ด้วย ทั้งขยายท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง โครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งโครงการขนาดใหญ่นี้จะเดินไปควบคู่กับดิจิทัลวอลเล็ต ที่รัฐบาลกำลังผลักดันเต็มที่
ติงฝ่ายค้านอย่าให้อคติบังตา
ส่วนที่นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกลบอกว่าฟังแล้วไม่มีอะไรใหม่ ไม่เห็นเป็นรูปธรรมทั้ง8ด้านว่าจะทำอย่างไรและกล่าวหาว่าแผนค่อนข้างลอยนั้น เป็นการกล่าวหาที่เต็มไปด้วยอคติ และไม่เปิดใจที่จะรับฟัง เพราะการประกาศ”วิสัยทัศน์” หรือ Vision คือ การมองภาพในอนาคต (Future Perspective) เป็นสิ่งที่ผู้นำบอกกับประชาชนและนานาประเทศ ถึงทิศทางของประเทศไทย และกำหนดจุดหมายปลายทางที่มีความชัดเจน มีพลัง และมีความเป็นไปได้ เช่น วางเป้าหมายเพิ่มระยะทางรถไฟทางคู่อีก 2,000 กิโลเมตร ภายในปี พ.ศ.2573, เพิ่มระยะทางรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและในภูมิภาค 2.5 เท่า ในปี พ.ศ.2573 และรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบินไปถึงหนองคายในปี 2030 และอื่นๆ อีกมากมาย จึงอยากวิงวอนว่า ประชาชนรอความเจริญมานานมากแล้ว อย่าให้ความไม่รู้ บดบังความตั้งใจของรัฐบาลที่ต้องการวางอนาคตให้ประเทศ
“นายกรัฐมนตรีมีDNAผู้บริหารมืออาชีพ นอกจากประกาศเป้าหมายของประเทศให้ประชาชนรับรู้แล้ว ยังเป็นการส่งสัญญาณไปถึงนักลงทุนที่ฟังอยู่ทั่วโลกว่าประเทศไทยมีความพร้อมมาก นักลงทุนเมื่อได้ฟังแล้ว พวกเขาจะได้รับรู้ทิศทางการลงทุนในไทยอย่างไร ในเวลาเดียวกันยังเป็นการแบ่งงานให้แต่ละกระทรวงไปทำงาน แบ่งงบ ประมาณตามงาน เพื่อไทยเรามององค์รวม ภาพใหญ่ เราต้องการสร้างความเจริญกลับคืนสู่ประเทศ กลับมาเป็นผู้นำในภูมิภาค”โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว
ตั้ง‘วิสุทธิ์’ปธ.วิปรัฐบาล
ขณะที่ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร(วิปรัฐบาล) เปิดเผยถึงกระแสข่าวที่จะมีการเปลี่ยนตัว ประธานวิปรัฐบาลจากนายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท.เป็น นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท.ว่า นายกฯมีคำสั่งแต่งตั้งให้ นายวิสุทธิ์ เป็นประธานวิปรัฐบาลแล้วเนื่องจากนายอดิศรยื่นลาออกโดยจะแจ้งให้ที่ประชุมวิปรัฐบาลทราบ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้
ส่วนผู้ที่จะมาเป็นวิปรัฐบาลสัดส่วนพรรค พท. แทน นายอดิศร คือ นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรค พท.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี