'ป.ป.ช.'เผยผลสำรวจการรับรู้ทุจริตของการลงทุนในไทยอยู่ระดับปานกลาง ชี้สาเหตุให้บริการล่าช้าทำให้เกิดการเรียกรับเงิน-ผลประโยชน์ และอนาคตทุจริตส่อเพิ่มสูงขึ้น เหตุยังมีช่องให้ใช้ดุลยพินิจ-จนท.รัฐขาดสำนึกซื่อสัตย์ แนะทางแก้ใช้ IT ควบคุมตรวจสอบระบบการขอลงทุน ลดการใช้ดุลยพินิจ
เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2567 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่ผลสำรวจการรับรู้การทุจริตในประเทศไทย ประจำปี 2566 จากการสำรวจเจาะลึกในการประเมินการรับรู้พฤติกรรมการทุจริตในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการขอการลงทุนในประเทศไทย จากกลุ่มผู้ที่มีส่วนได้เสีย 4 กลุ่ม รวม 4,458 คน ได้แก่ 1. ภาคเอกชนประกอบด้วย นักลงทุนชาวไทย นักลงทุนชาวต่างชาติ 2.หน่วยงานภาครัฐ บุคลากรผู้ให้บริการในหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในประเทศไทย 3. ภาคประชาชน ประกอบด้วยเยาวชน อายุระหว่าง 15 – 24 ปี และประชาชนวัยทำงาน อายุ 25 ปี ขึ้นไป 4.ภาคประชาสังคม ประกอบด้วย สื่อมวลชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร องค์กรสาธารณประโยชน์ หรือองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs)
ผลการสำรวจ พบว่าการรับรู้การทุจริตด้านการลงทุนในประเทศไทยในภาพรวม ประจำปี พ.ศ.2566 อยู่ในระดับปานกลาง มีค่าคะแนนระดับการรับรู้ 3.17 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 โดยช่องทางที่ทำให้เกิดการรับรู้การทุจริตในระดับสูง คือ โซเชียลมีเดีย การรับรู้การทุจริตของหน่วยงานภาครัฐที่ให้บริการด้านการลงทุนในประเทศไทยมีการทุจริตในระดับปานกลาง กระบวนการขอรับการลงทุนที่เป็นความเสี่ยงมีโอกาสทำให้เกิดการทุจริต อันดับ 1 ได้แก่ความล่าช้าในการให้บริการ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเรียกรับเงินหรือสิ่งของหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อแลกกับการให้บริการที่รวดเร็วขึ้น อันดับ 2 การขออนุมัติ อนุญาต ใช้ระยะเวลานานเพราะต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาหลายชั้นหลายหน่วยงาน
อันดับ 3 การใช้ดุลยพินิจในการอนุมัติ อนุญาต เกินสมควรและไม่เป็นธรรม อันดับ 4 การให้บริการไม่เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาตามที่ประกาศไว้ โดยไม่ชี้แจงให้ผู้รับบริการทราบอย่างชัดเจน อันดับ 5 การแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารประกอบ/ค่าธรรมเนียม/ช่องทางการให้บริการไม่ชัดเจน และอันดับสุดท้าย คือ การไม่เปิดเผยข้อมูลหรือแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนและระยะเวลาในการขออนุมัติ อนุญาต ให้ผู้รับบริการทราบ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาการทุจริตในกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในประเทศไทย คือ 1. ระบบการขอการลงทุนที่มีเอกสารมาก ติดต่อหลายหน่วยงานใช้เวลานานตลอดจนเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐยังไม่เป็นระบบที่ดี รวมทั้งระบบการควบคุมตรวจสอบที่ทำได้ไม่ครอบคลุมทั้งระบบ 2.เจ้าหน้าที่ภาครัฐผู้ให้บริการด้านการขอการลงทุนบางส่วน ขาดคุณธรรมจริยธรรมการปฏิบัติงาน 3.ผู้ขอรับบริการบางกลุ่มขาดจริยธรรมในการทำธุรกิจ 4.มีระบบอุปถัมภ์ ระบบอิทธิพลในหน่วยงาน 5. ระบบสังคมไทยในปัจจุบัน 6.การมีส่วนร่วมในการต่อต้านการทุจริตของภาคประชาชน/ประชาสังคม ยังไม่มากพอ 7. การบังคับใช้กฎหมายยังไม่เคร่งครัด และมีช่องโหว่ให้ผู้ใช้กฎหมายดำเนินงานแบบสองมาตรฐาน
ทั้งนี้ ร้อยละ 68.24 ยังเห็นว่าการทุจริตด้านการลงทุนในประเทศไทยอาจมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากยังมีช่องทางการใช้ดุลยพินิจ การมีอำนาจและพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่ขาดจิตสำนึกด้านความซื่อสัตย์ นักลงทุนไม่อยากเสียเวลาร้องเรียน ชี้เบาะแส เพราะไม่มั่นใจ ในระบบการคุ้มครอง การมีส่วนร่วมของภาคประชาชนประชาสังคมในการร่วมต่อต้านการทุจริตมีไม่มากพอ
ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. เสนอแนะแนวทางการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 1.รณรงค์ให้ภาคประชาชน ประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันปราบปรามการทุจริต 2.ใช้มาตรการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) 3.ใช้ระบบ IT ในการกำกับควบคุมและตรวจสอบระบบการขอลงทุน/ลดการใช้ดุลยพินิจ 4.เปิดเผยขั้นตอนการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ชัดเจน 5.ศึกษา ทบทวน/ปรับปรุงกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต 6.เสริมสร้างความเข้มแข็งและคุณธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ 7.ประชาสัมพันธ์ข้อมูลภาครัฐเรื่องการปราบปรามป้องกันการทุจริตผ่านสื่อออนไลน์ 8.ปลูกฝังเยาวชนให้เห็นความสำคัญของการทุจริต ส่งเสริมค่านิยมต่อต้านทุจริต
ทั้งนี้ การประเมินระดับการรับรู้การทุจริตดังกล่าว จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตด้านการลงทุนต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี