1.ในการดำเนินการทางวินัยตามกฎก.พ.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2556 ข้อ 40 วรรคหนึ่งกำหนดว่าการแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา ให้ทำเป็นบันทึกระบุข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำการใด เมื่อใด อย่างไรเป็นความผิดวินัยในกรณีใดและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา โดยจะระบุชื่อพยานด้วยหรือไม่ก็ได้ รวมทั้งแจ้งให้ทราบสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่จะให้ถ้อยคำหรือยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเป็นหนังสือ สิทธิที่แสดงพยานหลักฐานหรือจะอ้างพยานหลักฐานเพื่อขอให้เรียกพยานหลักฐานนั้นมาได้ แล้วแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ
2.พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 93 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา 91 ปรากฏว่า กรณีมีมูลอันเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
3.ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 มาตรา 30 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณีมีโอกาสที่จะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาสได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน
มาตรา 42 (วรรคหนึ่ง) คำสั่งทางปกครองให้มีผลใช้ยันต่อบุคคลตั้งแต่ขณะที่ผู้นั้นได้รับแจ้งเป็นต้นไป (วรรคสอง) คำสั่งทางปกครองย่อมมีผลตราบเท่าที่ยังไม่มีการเพิกถอนหรือสิ้นสุด ผลลงโดยเงื่อนเวลาหรือโดยเหตุอื่น
4.ประเด็นของเรื่องที่จะนำมาบอกเล่าสู่กันฟัง เป็นคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐรายหนึ่ง ชื่อนางก. รับผิดชอบในการจัดนิทรรศการของทางราชการได้กระทำการผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานกระทำผิดจรรยาบรรณ กระทำการขัดต่อมาตรฐานกำหนดตำแหน่ง และกระทำโดยประมาทเลินเล่อในการทำงานเป็นเหตุให้ส่วนราชการเสียหายอย่างร้ายแรง ทางราชการจึงได้ลงโทษปลดออกจากราชการ ผู้ถูกลงโทษได้อุทธรณ์คำสั่งลงโทษดังกล่าวกรณีถึงที่สุดโดยการอุทธรณ์
ผู้ถูกลงโทษได้นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง คดีถึงที่สุดโดยศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษดังกล่าว ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอกลับเข้ารับราชการในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าเดิม และเรียกร้องสิทธิประโยชน์ทั้งหมดที่พึงมีพึงได้ตามกฎหมายในระหว่างที่พ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทางหน่วยงานของรัฐซึ่งได้มีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงานเป็นพนักงานของรัฐตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 เป็นต้นไป แต่มิได้ชดใช้เงินเดือนและสิทธิประโยชน์ให้แก่เจ้าหน้าที่รายนี้ในระหว่างที่ถูกปลดออกจากราชการแต่อย่างใด ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการที่ทางราชการไม่ดำเนินการจ่ายเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงนำคดีมาฟ้องคดีต่อศาลปกครองขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้เงินเดือนและสิทธิประโยชน์ดังกล่าว
5.ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาแล้วคดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนั้น แต่ไม่ได้ชดใช้เงินเดือนและสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ฟ้องคดีระหว่างที่ถูกลงโทษปลดออกจากงานเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือไม่ หากเป็นการกระทำละเมิด ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีหรือไม่เพียงใด
(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี