"ส.ส.ก้าวไกล"ห่วงกลุ่มเปราะบางเข้าไม่ถึงบ้านมั่นคง-คนจนผ่อนไม่ไหว "วราวุธ"เผย 15 มีนานี้ลงพื้นที่คลองเปรมฯ
เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายเอกราช อุดมอํานวย สส.กรุงเทพฯ (เขตดอนเมือง) พรรคก้าวไกล กล่าวถึงปัญหาของโครงการบ้านมั่นคง ว่า ตนไปลงพื้นที่ พบตา – ยายคู่หนึ่ง คุณตาเป็นผู้ป่วยติดเตียง ส่วนคุณยายก็อายุมาก อยู่กัน 2 คนไม่มีบุตรหลานดูแล โดยคุณยายประกอบอาชีพขายของชำเล็กๆ น้อยๆ รายได้ไม่มากนัก แต่กำลังจะได้รับผลกระทบเนื่องจากโครงการบ้านมั่นคง คือการรื้อบ้านเดิมที่คนเหล่านี้ปลูกออกแล้วก่อสร้างใหม่ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการนี้ก็จะต้องผ่อนบ้านหลังใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทน
แต่เมื่อดูความเป็นอยู่ของครอบครัวนี้ อย่าว่าแต่ให้ผ่อนบ้านหลังใหม่ เพราะเมื่อไปดูรายได้ของตา – ยายคู่นี้ บวกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแล้ว ก็ยังไม่พ้น 3,000 บาทต่อเดือน แบบนี้จะเอาเงินจากไหนไปเข้าร่วมโครงการ ส่วนที่บอกว่าโครงการบ้านมั่นคงจะมีบ้านสำหรับกลุ่มเปราะบาง ตนเคยสอบถามสมาชิกสหกรณ์ในโครงการบ้านมั่นคง ก็พบว่าบางโครงการมีบ้านสำหรับกลุ่มเปราะบางเพียง 1 – 3 หลัง แล้วแต่พื้นที่ แต่ข้อมูลว่าแต่ละชุมชนมีประชากรกลุ่มเปราะ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ บางจำนวนเท่าไรก็ยังไม่เคยมีการสำรวจอย่างจริงจัง ทำให้มึคนกลุ่มนี้ที่ถูกทอดทิ้งไป
“บางรายต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนไปนอนใต้สะพาน ตอนนี้มีคนที่ถูกฟ้องดำเนินคดี คือเข้าไปร่วมโครงการแล้วปรากฏว่าผ่อนต่อไม่ได้ สหกรณ์ก็ต้องฟ้องแล้วก็ถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ อยากทราบว่าท่านรัฐมนตรีจะแก้ปัญหาบ้านกลางที่กำลังจะสร้างแต่ละสหกรณ์ชุมชน จะเอางบประมาณจากไหน? อย่างไร? แล้วก็ชุมชนต่างๆ เขาต้องแบกรับภาระในการผ่อนแทนภาครัฐ ซึ่งเดิมเหมือนว่าผู้เปราะบางรัฐก็ดูแลสนับสนุน แต่เหมือนตอนนี้ไปผลักให้กับสหกรณ์ไปรับผิดชอบในส่วนนี้” นายเอกราช กล่าว
ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ชี้แจงเรื่องดังกล่าว ว่า บ้านมั่นคง เป็นโครงการโดย สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐ 147,000 บาทต่อหลัง ในจำนวนนี้แบ่งเป็นสำหรับก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานส่วนกลาง 5 หมื่นบาท ส่วนอีก 9.7 หมื่นบาท เป็นงบประมาณอุดหนุนการก่อสร้างของสมาชิกแต่ละคน
ส่วนการออกแบบบ้าน ในส่วนของบ้านกลาง เป็นบ้านชั้นเดียวสำหรับคนที่ไม่สามารถประกอบอาชีพใดๆ ได้ ซึ่งตนยอมรับว่า ที่นายเอกราชกล่าวมาก็เป็นความจริง เช่น ที่ชุมชนเปรมประชาสมบูรณ์ ที่นี่มีครัวเรือนบ้านมั่นคง 124 หลัง แต่มีบ้านกลางเพียงหลังเดียว ที่เหลือก็จะเป็นบ้านชั้นเดียวและบ้าน 2 ชั้น แต่ยืนยันว่าค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายของบ้านกลาง ไม่ได้เป็นการผลักภาระไปให้ชุมชน เพราะบ้านทุกหลังในโครงการเงินส่วนหนึ่งมาจากภาครัฐ และบ้านกลางรัฐก็สนับสนุน เพียงแต่คนอื่นๆ ในชุมชนก็ต้องเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระด้วย
ทั้งนี้ งบประมาณของ พอช. คือการสร้างให้กับชุมชนมีความเข้มแข็งขึ้นและมีส่วนร่วมในการที่จะทำให้ชุมชนนั้นมีที่พักอาศัยต่างๆ ส่วนในกรณีตา – ยาย ที่นายเอกราชกล่าวถึง ซึ่งคุณตาที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ตนไม่แน่ใจว่าได้มีการทำงานเกี่ยวกับเรื่องเบี้ยผู้สูงอายุแล้วหรือยัง โดยหากยังไม่มี ตนก็จะให้เจ้าหน้าที่ประสานไปที่นายเอกราช เพื่อขอรายละเอียดตา – ยายคู่นี้ สำหรับดำเนินการให้เข้าถึงเบี้ยผู้สูงอายุ และหากเป็นผู้มีข้อจำกัดอื่นๆ เช่น เป็นผู้พิการ ก็จะพยายามดูต่อไปว่าจะมีเบี้ยอะไรสนับสนุนได้อีกบ้าง รวมถึงผู้สูงอายุและผู้พิการคนอื่นๆ ในชุมชนด้วย
“ในกรณีสำหรับบ้านพักของบ้านมั่นคงที่ พอช. รับผิดชอบนั้น เป็นสิ่งที่พี่น้องในชุมชนได้ทำข้อตกลงกันเอาไว้ว่า ถ้ามีผู้ต้องการความช่วยเหลือและไม่สามารถหารายได้ได้ สมาชิกทุกคนจะเป็นคนแบกรับไว้ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าบ้าน รวมไปถึงค่าก่อสร้าง ค่าน้ำค่าไฟต่างๆ เมื่อเข้าอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะมีคนเพิ่มขึ้นในส่วนของบ้านกลางอย่างไร จำนวนเท่าไรนั้น พี่น้องที่อยู่ในชุมชนก็คงจะต้องมีความเห็นชอบด้วยด้วยเช่นกัน” นายวราวุธ กล่าว
รมว.พม. กล่าวต่อไปว่า นอกจาก พอช. แล้ว พม. ก็ยังมีหน่วยงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ ทั้งกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กรมกิจการผู้สูงอายุ รวมถึงกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว และยังมีศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) แจ้งได้ที่สายด่วน 1300 ซึ่ง พม. จะส่งชุดเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ไปดูว่าปัญหาเบื้องต้นมีอย่างไร และจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าก่อนได้อย่างไร ขณะที่หากเป็นผู้สูงอายุที่มีศักยภาพ ก็จะพยายามหางานหาอาชีพให้ เพื่อให้เป็นผู้สูงอายุติดสังคม แทนที่จะติดบ้านหรือติดเตียง
อย่างไรก็ตาม นายเอกราช ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากชวนนายวราวุธลงไปดูพื้นที่จริง อย่างริมคลองเปรมประชากร มีหลายคนไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ คำถามคือแล้วเราจะปล่อยให้เขากลายเป็นคนเร่ร่อนแบบนั้นหรือ ตนจึงอยากให้มีการแก้ปัญหาคนจนเมืองในชุมชนที่ถูกไล่รื้อจากโครงการพัฒนาของรัฐอย่างเป็นรูปธรรม เพราะแม้แต่ผู้เข้าร่วมโครงการที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบางก็ยังต้องแบกรับดอกเบี้ยร้อยละ 6 ซึ่งใกล้เคียงกับการขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยกับธนาคารของบุคคลทั่วไป แล้วแบบนี้ใช้การแก้ไขปัญหาให้กับคนจนเมืองจริงหรือ
อนึ่ง สำหรับดอกเบี้ยร้อยละ 6 นั้นแบ่งเป็นดอกเบี้ยของ พอช. ร้อยละ และของสหกรณ์อีกร้อยะ 2 ในชั้นกรรมาธิการ เคยมีตัวแทนของ พอช. ไปชี้แจงว่าเก็บดอกเบี้ยร้อยละ 4 เพื่อใช้บริหารองค์กร ตนจึงอยากฝากถึงนายวราวุธ ว่าจะอุดหนุนภาระของประชาชนอย่างไร ส่วนเรื่องการสำรวจกลุ่มเปราะบางในชุมชนที่ให้ชุมชนทำกันเองที่ให้ชุมชนทำกันเอง ในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้
ซึ่งนายวราวุธได้ตอบว่า ในวันที่ 15 มี.ค. 2567 เวลา 09.00 น. ตนจะไปลงพื้นที่ตลอดแนวเส้นทางคลองเปรมประชากร เพื่อดูว่ามีข้อจำกัดที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมอย่างไร ส่วนการที่ พอช. ต้องอาศัยดอกเบี้ยในการบริหารองค์กร เป็นเพราะ พอช. ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล และ พอช. ก็ไม่ใช่หน่วยงานราชการระดับกรม และไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่เป็นองค์การมหาชน และแม้ พอช. จะมีเงินเก็บอยู่ แต่ก็เป็นเงินสำหรับปล่อยให้ประชาชนกู้ยืม และดอกเบี้ยร้อยละ 4 ที่เก็บไป หากผลประกอบการของ พอช. หรือของสหกรณ์ดี บางครั้งก็คืนดอกเบี้ยให้เกือบร้อยละ 1
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนี้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2563 และปัจุบันยังไม่มีการปรับปรุง ทั้งนี้ พอช. มีเครือข่ายทั่วประเทศ มีเจ้าหน้าที่เข้าไปทำงาน แต่บางพื้นที่ก็มีข้อจำกัด อย่างคลองเปรมประชากร เป็นพื้นที่ที่ต้องนำประชาชนขึ้นมาอยู่บนบกแทนการรุกล้ำลงไปในคลอง แต่เมื่อขึ้นมาแล้วพื้นที่ก็ต้องขยาย เพราะบางครัวเรือนอยู่กัน 7 - 8 คน โดย พอช. ก็กำลังเร่งหาพื้นที่อื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนขยับขยายไปอยู่ได้ อย่างที่ตนดูข้อมูล จากเดิม 50 หลังคาเรือน พอทำแล้วต้องขยายเป็น 70 – 80 หลังคาเรือน เพราะแต่ละครัวเรือนมีประชากรมากเกินไป
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี