‘เศรษฐา’เปิดใจเป็นนายกฯทำงานมา7เดือน
‘ไม่ได้ดั่งใจเยอะ’
ประกาศลั่นจะต้องพยายามต่อไป
มั่นใจไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
‘ทักษิณ’ขอทำหน้าที่อดีตนายกฯ
ช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาให้บ้านเมือง
“เศรษฐา” เปิดใจทำงาน 7 เดือนมีเรื่องไม่ได้ดั่งใจเยอะ ยังไม่พอใจ จะต้องพยายามต่อไป รับอยู่การเมือง ต้องปรับตัวมาก ต้องฟังหลายส่วน ลั่นขออุทิศตนเพื่อปชช. พร้อมเสียเพื่อน หากทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน บอกแม้มาจากภาคธุรกิจ มั่นใจไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแน่นอน ย้ำหลังพิงปชช.รับต้องปรับจูน ทำความเข้าใจส.ส.เพื่อไทย หลังเสียงสะท้อนมีระยะห่าง ลั่นไม่น้อยใจ ไม่โกรธ ไม่งอน ย้ำต้องเข้มงบฯเหตุมีจำกัด ดูแลภาษีปชช.ให้คุ้มค่า ชม‘ฝ่ายค้าน’ทำหน้าที่ดี คอยเตือนสติ พร้อมรับคำแนะนำไปปรับปรุง ‘ราเมศ’ยันปชป.ไม่เคยส่งใครคุย‘แม้ว’ร่วม รบ.ท้าแน่จริงเปิดชื่อเลยใครขอร่วม ประชด‘ปู’กลับไทยจะติดคุกวันเดียวก็ไม่ได้ เดี๋ยวรบ.ถูกกล่าวหา ‘2มาตรฐาน’เตือนระวังทุกการกระทำ จะย้อนกลับมาแน่นอน ‘พิธา’อ้อนคนอีสานทิ้งทวน ก่อนสู้คดียุบพรรค โวถ้าชนะ อีก3ปีจะกลับมาพบในฐานะนายกฯ ด้านซูเปอร์โพล พบปชช.มอง‘ทักษิณ’เป็นผู้มีบารมี-หวังพึ่ง-แก้ปากท้อง
เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์เปิดใจถึงการทำงานในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา นายฯเปิดใจมีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ โดยระบุว่า มีเรื่องที่ไม่ได้ดั่งใจเยอะ เพราะหลายปัญหาของประชาชน ยังไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องราคาพืชผลทางการเกษตร ที่แม้จะดีแล้ว แต่ยังสามารถดีกว่านี้ได้อีก
นายกฯยังยอมรับว่า “ผมไม่สบายใจ หรือพึงพอใจ ผมขอใช้คำว่า ยังไม่พึงพอใจสำหรับการทำงาน 7เดือนแต่ก็ต้องพยายามต่อไปและทำให้ทุกอย่างดียิ่งขึ้นไป รวมไปถึงเรื่องของการดึงดูดนักลงทุนเรื่องการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า ปัญหายาเสพติด”
ปลื้ม!นักท่องเที่ยวพุ่งสูง140%
เรื่องการท่องเที่ยว ข้อมูล ณ วันที่ 12 เมษายน 2567 ตัวเลขนักท่องเที่ยวสูงกว่าแล้ว 140% ถือว่าดีมาก แต่ก่อนสถานการณ์โควิด-19ในปี 2562 ณ เวลานี้ จากเดือนมกราคม-เมษายน เราได้ประมาณ 60% หากคิดเป็น 100% วันนี้เราได้ประมาณ 90% ตนมั่นใจสถิติคนมาเที่ยวไทย 39.4 ล้านคน เราสามารถดันตัวเลขให้สูงขึ้นได้ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งการเปิดตลาดวีซ่าฟรี การ อำนวยความสะดวกในการตรวจคนเข้าเมืองกับนักท่องเที่ยว รวมถึงการจัดการปัญหาไกด์เถื่อน ไรเดอร์ถื่อนทำให้การเดินทางเข้าประเทศสะดวกสบายมากขึ้น ก็สามารถทำได้
ส่วนเรื่องของกรมศุลกากรที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษี จากรายได้ของประเทศ ปีละประมาณ 3 ล้านล้านบาท กรมศุลกากรเป็นหนึ่งใน3 กรมภาษีหลัก จัดเก็บภาษีได้ปีละ1 แสนล้าน คิดเป็น ประมาณ3%ของรายได้ประเทศ ถือว่าต่ำ แต่แม้เก็บได้3%แต่ก็เป็นกรมหลักในการควบคุมสินค้าเถื่อน ที่มากระทบชีวิตประชาชน หนึ่งในนั้นคือการควบคุมยางพาราเถื่อน จนส่งผลให้ราคายางในประเทศสูงขึ้น แต่เป็นเรื่องแปลกที่มีคนมาวิ่งเต้นกับกรมศุลกากรมากที่สุด ซึ่งตนได้พูดหลายครั้งว่ากรมศุลกากร มีการวิ่งเต้นสูงสุด แต่แปลกที่มีการจัดเก็บรายได้ได้แค่3%ถือเป็นเรื่องที่น่าสงสัย จึงเป็นที่มาที่ต้องพัฒนากรมศุลกากรให้เป็นกรมศุลกากรที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ช่วยเหลือประชาชนได้จริงๆในหลายมิติ หรือ เรื่องภาษีนำเข้าที่เป็นจุดรั่วไหลทำให้การจัดเก็บภาษีในประเทศไม่ดีเท่าที่ควร
รับอยู่การเมืองต้องปรับตัวเยอะ
นายเศรษฐา ยอมรับว่า ต้องปรับตัวมากจริงๆจากการเป็นธุรกิจสู่วงการการเมืองการเป็นซีอีโอของบริษัทมีผู้ร่วมงาน คนรอบตัว ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน สังคม เวลาบริหารจัดการต้องคำนึงถึง 4 เสาหลักนี้ เป็นผู้บริหารบริษัท ก็ได้รับการซัพพอร์ตเต็มที่จากคณะกรรมการ และผู้ถือหุ้น แต่มาอยู่ในบริบทของนักการเมืองและเป็นนายกรัฐมนตรีที่มี141 เสียง เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค 141 เสียง จาก 500 เสียง และมีผู้ร่วมงานที่ต่างกัน ทั้งประชาชน,ส.ส. ,สว. ,สถาบันความมั่นคง , NGO, นักข่าว หลายภาคส่วนต้องการการพูดคุยและการอธิบาย
ดังนั้น ตนขอใช้คำว่า หุ้นส่วนในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งแต่ละพรรคส.ส.แต่ละคนก็ไปสัญญากับประชาชนแตกต่างกันไปบ้าง การบริหารจัดการงบประมาณก็มีส่วน ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ช้าไปบ้าง แต่การทำงานร่วมกันมา 7 เดือน เชื่อว่าเรารู้ใจกัน มีการให้เกียรติกันและกัน เชื่อว่าการขับเคลื่อนและบริหารจัดการประเทศ และการช่วยเหลือประชาชนก็จะค่อยๆ ดีขึ้น
มั่นใจไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
เมื่อถามว่าการเป็นนักธุรกิจแล้วมาเป็นนายกฯมีเพื่อนเป็นนักธุรกิจย่อมหนีไม่พ้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเอื้อประโยชน์มีวิธีปกป้องตัวเองไม่ให้มีคนเข้ามาขอผลประโยชน์อย่างไรนายกฯตอบว่า “หน้าที่ของผมไม่ใช่การเซฟตัวเอง ผมมั่นใจอยู่แล้วที่เดินมาสู่การเมือง มีจุดมุ่งหมายเดียวคือ การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในทุกมิติให้ดีขึ้น หากจะเซฟตัวเอง ผมไม่มีตรงนี้ มั่นใจได้ว่าเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ผมไม่มีแน่นอน”
ลั่นยกระดับชีวิตปชช.ให้ดีขึ้น
นายเศรษฐากล่าวถึงเรื่องทรัพย์สินเรื่องของชีวิตส่วนตัวว่าส่วนตัวลงตัวแล้ว ตนมีรายได้ในอดีตที่ดีพอสมควร มีทรัพย์สินที่ทำให้อยู่ได้อย่างสบายๆ เรื่องการที่จะมาเอาผลประโยชน์ทางการเมือง ตนไม่มี คนในครอบครัวมีความสุข มีหน้าที่การงานที่เหมาะสมแล้ว ตนย้ำในวันแถลงนโยบายไปแล้วว่า3ปีครึ่งจากนี้ไป ตนมีเรื่องเดียวคือยกระดับชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น
โวหวังพาพท.ชนะลต.สมัยหน้า
“และหวังว่าจะทำให้เพื่อไทยชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งผมได้ การที่มีเพื่อน เป็นนักธุรกิจเยอะ และตอนนี้ก็มีเพื่อนเป็นนักการเมืองเยอะ การที่จะต้องไปเก็บข้อมูลและรู้ลึกทุกเรื่องและประสบการณ์ในวงการธุรกิจอีก 40 กว่าปี เชื่อว่ามีประสบการณ์มาเยอะพอที่จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อประชาชน”
อุทิศตนเพื่อปชช./พร้อมเสียเพื่อน
เมื่อถามต่อว่าการมานั่งเป็นผู้นำอาจจะต้องเสียเพื่อนไปบ้างในกรณีที่ไม่มีการสมประโยชน์กัน นายกฯเตรียมพร้อมรับมืออย่างไรนายกฯกล่าวว่า ตนเจอเพื่อนทุกคนก็คุยกันว่าคนอายุ60ปีแล้ว อยากทำสิ่งที่ตัวเองชอบ ตนอยากไปดูฟุตบอลลิเวอร์พูลทุกนัด อยากเดินทางไปประเทศที่ไม่เคย ไปทานอาหารอร่อยในทุกประเทศ อยากหาความสุขให้ตัวเอง แต่การเข้ามาในเวทีการเมือง อยากดูแลความเป็นอยู่ประชาชนให้ดีขึ้น
“เมื่อได้ประกาศว่าอุทิศตนแล้วและบอกเพื่อนฝูงว่าเรื่องต่างๆที่จะมาขัดขวางในการทำให้ชีวิตความ เป็นอยู่ประชาชนดีขึ้นหรือสภาพจิตใจ การถูกเอาเปรียบจากผู้ที่ทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย หากเพื่อนผมทำตัวแบบนั้นก็พร้อมที่จะเสียเพื่อน และมั่นใจว่าหากอีก 3ปีครึ่ง ต้องมีเพื่อนน้อยลงแลกกับการที่ทำให้คนที่อยู่ในฐานพีระมิดดีขึ้น ผมก็พร้อม”นายกฯ ระบุ
ลั่นไม่เอานักการเมืองเลวทุจริต
เมื่อถามถึงมุมมองทางการเมืองของนายกฯเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่ หลังเข้าสู่วงการการเมือง นายกฯระบุว่า หลายคนอาจบอกว่านักการเมืองมีทั้งดีและเลว แต่บางคนที่บอกว่านักการเมืองเลว เพราะการทุจริตประพฤติมิชอบ เรื่องนั้นชัดเจน แต่บางเรื่อง เป็นเรื่องของความเห็นต่างหรือวิธีการที่แตกต่างกัน มีวิธีการดูแลประชาชนต่างจากที่รัฐบาลมอง การที่จะต้องจูนเข้าหากันหรือเวลามีคนมาแนะนำเรื่องอะไรและเห็นชัดเจนว่าต้องการผลประโยชน์ส่วนตัว ตนคิดว่าคนพวกนั้นดูถูกตนไปนิดนึง ตรงนี้ ขออย่ามาทำกันดีกว่า ส่วนนักการเมือง จะมาขออะไรก็ขอให้อยู่บนบรรทัดฐานที่เหมาะสม
ในเรื่องของงบประมาณมีคำภาษาอังกฤษที่บอกว่า”Bigger bang for the buck”หมายความว่า หากใส่เงินไป 1บาท ผลตอบแทนต้องมากกว่า1เหรียญ โดยนายกฯยกตัวอย่างเรื่องน้ำท่วมว่าหากดูแลป้องกันไม่ให้น้ำท่วมได้แล้วก็จะได้ผลประโยชน์สองต่อคือผลผลิตทางการเกษตรดีขึ้น แต่ละพรรคส.ส.แต่ละคน ก็อยากใช้งบประมาณเพื่อดูแลประชาชนในเขตของเขา ดังนั้น รัฐบาลก็ต้องรับฟัง
รับต้องปรับจูนส.ส.เพื่อไทย’
นายเศรษฐายังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับส.ส.พรรคเพื่อไทยที่ยังมีเสียงสะท้อนจากภายในพรรคว่าระหว่างนายกฯกับส.ส.ยังมีระยะห่างกันมากและส่วนหนึ่งมาจากการเข้มงวดเรื่องงบประมาณว่า หลายโครงการที่ขอมาก็มีได้ อย่างที่บอกงบประมาณมีจำกัด ในฐานะนายกฯมีหน้าที่ดูแลภาษีของประชาชนและมีหน้าที่ตอบกับรัฐสภาว่าภาษีนั้นมีการใช้อย่างเหมาะสมหรือไม่เช่น การสร้างสนามบิน ด่านชายแดนต่างๆ ต้องดูให้ดีเพราะมีการพูดคุยและดูองค์ประกอบ หลายๆอย่าง อยากค่อยๆทำค่อยๆ เป็นค่อยๆไปขอให้ถึงเวลาก่อน
“หน้าที่ของผมก็ต้องปรับจูน ระหว่างผมกับส.ส.ของพรรคตลอดเวลา เพราะผมต้องหลังพิงประชาชนเพราะเป็นคนที่ส่งให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้และต้องผ่าน ส.ส.ที่มีถึง 141 คน ยังไงก็ต้องโน้มน้าวเข้าหาตลอดเวลาและพยายามอธิบายให้เข้าใจว่าเรื่องคืออะไรประเด็นคืออะไร เหตุผลที่ให้ได้และให้ไม่ได้หรือทำไมต้องได้งบประมาณน้อยลง หรือเพิ่มขึ้นซึ่งเรื่องของการพูดคุยเป็นเรื่องสำคัญ”นายกฯระบุ
ลั่นไม่น้อยใจ ไม่โกรธ ไม่งอน
นายเศรษฐายืนยัน“ไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน ยังต้องพยายามไปพบปะพูดคุย หาวิธีสื่อสารให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว เพราะผมเป็นนายกฯของคนไทยทุกคน ซึ่งในสัปดาห์หน้า ผมจะลงพื้นที่ใน จ.ภูเก็ต ไปดูการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสที่ 4”
รับยังคุมอารมณ์ไม่ดี-ต้องปรับ
ส่วนเรื่องการบริหารอารมณ์นั้นนายกฯระบุว่าคิดว่าคนเราก็เป็นคนก็มีอารมณ์บ้าง และตนไม่ได้เป็นนักการเมืองอาชีพ ตนเข้าใจว่าถ้าเป็นนายกฯต้องไม่มีสิทธิ์เลือกโกรธ ต้องพยายามรับฟัง ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี ตรงนี้ ก็พยายามทำให้ดียิ่งขึ้นอยู่ บางเรื่องก็เข้าใจได้ก็พยายามฝึกกันต่อไป ส่วนที่ก่อนหน้านี้เป็นนักธุรกิจแล้วใจร้อนมาก เมื่อเป็นนายกฯแล้วใจเย็นขึ้นเยอะจนเพื่อนบ่น นายเศรษฐากล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้ประชาชน เป็นคนตัดสินใจ หรือให้สื่อมวลชนเป็นคนสะท้อนว่ามีการพัฒนาอย่างไร ถ้าถามว่าทำได้ดีพอหรือยัง ต้องตอบว่า ยังไม่ดี ต้องพยายามกันต่อไป เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะแล้วก็ ต้องรับฟังทุกๆ คำถาม
พร้อมรับคำแนะนำ‘ฝ่ายค้าน’
นายเศรษฐายังกล่าวถึงการทำงานของฝ่ายค้านว่า ฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่ได้ดี เป็นการเตือนสติ สิ่งใดที่ทำไม่ได้ดี ก็พร้อมรับไปพิจารณา ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้ว ที่ต้องมาดูแลเรื่องการใช้งบประมาณของรัฐบาล อะไรที่ทำยังไม่ดีพอ ก็พร้อมนำไปปรับปรุง อะไรที่มีขีดจำกัดก็จะพักไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาที่จะแก้ไขก็จะแก้ไข เชื่อว่าตนมีความเข้าใจ พยายามแยกแยะ ไม่โฟกัสเรื่องที่ไม่ถูกต้องหรืออะไรที่เป็นเกมการเมืองมากเกินไปพยายามไปโฟกัสเรื่องคำแนะนำที่เป็นผลดีกับประชาชนและอยู่ช่วงเวลาที่สามารถทำได้
เมื่อถามว่าฝ่ายค้านเล่นการเมืองมากไปหรือไม่ นายกฯกล่าวว่าขอให้ประชาชนเป็นคนตัดสินดีกว่า เพราะไม่อยากสร้างประเด็นทางการเมือง พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลนี้ ไม่ได้ละเลยเรื่องรายละเอียด บางเรื่องมีระยะเวลา ก็ต้องพยายามจัดการกันไป หรือบางเรื่องก็พยายามกำหนดกรอบเวลา หลายอย่างที่พยายามทำมา ก็ต้องมาช่วยกันดู ทั้งรายละเอียดงบประมาณ การทุจริตประพฤติมิชอบ
ปชป.ลั่นไม่เคยส่งใครคุย‘แม้ว’
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯระบุถึงการพูดคุยกับคนในพรรคประชาธิปัตย์ว่าเรื่องร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล คงตอบได้ชัดเจนว่าในส่วนคณะกรรมการบริหารพรรค ปชป.ไม่เคยคุยเรื่องนี้ แม้แต่ครั้งเดียว ทุกกระบวนการมีขั้นตอนของพรรคกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องผ่านการพิจารณาของที่ประชุมกก.บห.และที่ประชุมระหว่างกก.บห.กับส.ส.ไม่มีใครที่จะมีอำนาจไปพูดคุยตกลงด้วยตนเองได้ พรรคทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพรรคทำหน้าที่อย่างเต็มที่
สวนพท.ลั่นปชป.ไม่มีDNAโกง
“ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยออกมากล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ว่ามีDNAที่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จผมในฐานะโฆษกก็ออกมาตอบแล้วว่ามีที่ทำสำเร็จมากมาย ที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศแต่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มี DNAโกงนั่นแสดงให้เห็นว่า เรามีพันธุกรรมที่แตกต่างกัน”โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ย้ำ
ท้า‘เศรษฐา’เปิดชื่อใครขอร่วมรบ.
นายราเมศระบุว่าตนก็ได้ถามนายกฯไปหลายวันแล้วในเรื่องที่นายกฯบอกว่า มีฝ่ายค้านที่ไปขอร่วมรัฐบาลนั้น ถ้าลูกผู้ชายจริงก็ต้องเปิดเผยมาว่าเป็นใคร นายกฯก็ไม่เคยตอบ การทำให้เกิดความสับสนพรรคก็เสียหาย ซึ่งต่อมาตัวนายกฯ ก็บอกเองว่ารัฐบาลมีเสียงมีเพียงพอแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปเพิ่มเสียงรัฐบาล นายกฯ ก็พูดจาสับสน ถึงบอกว่าถ้าแน่จริงให้บอกมาเลยว่าใครพรรคไหนที่ไปขอร่วมรัฐบาลที่สำคัญนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคก็ยืนยันชัดว่าพรรคปชป.ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการร่วมรัฐบาล ไม่อยากให้นายทักษิณพูดแบบคลุมเครือ
ดักคอ‘ปู’กลับติดคุกวันเดียวไม่ได้
นายราเมศยังกล่าวถึงที่นายทักษิณระบุถึงการกลับไทยของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรว่าโดยหลักการน.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นคนไทยการกลับมายังประเทศไทยทำได้ตลอดเวลา เพราะการหลบหนีคดีจำนำข้าวที่มีคำพิพากษาให้จำคุกหลบไปอยู่ต่างประเทศนานหลายปี คงคิดถึงเมืองไทย ส่วนคดีที่มีคำพิพากษาให้จำคุก ยังไม่อยากพูดถึงเรื่องในอนาคตว่าเข้ามาในไทยแล้วจะถูกจำคุกจริงหรือไม่จำคุกกี่วัน เชื่อว่าทุกคนรอดู อนาคตจะเป็นคำตอบ
“ผมอยากให้ใช้มาตรฐานเดียวกับนายทักษิณ เพราะถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้ามาแล้วต้องติดคุกตามคำพิพากษา ติดคุกวันเดียวก็ไม่ได้ เพราะรัฐบาลจะถูกกล่าวหาได้ว่า รัฐบาลนี้สองมาตรฐาน ทั้งนายกฯและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกกรมกอง ต้องใช้ชุดเดิมเพราะมีประสบการณ์แล้วจะได้คงไว้ซึ่งมาตรฐานของรัฐบาล ส่วนกระบวนการยุติธรรมของประเทศโดยเฉพาะปลายทาง ตนเชื่อว่าคนไทยไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว ขณะนี้รัฐบาลมีอำนาจ ไม่มีใครทำอะไรได้แต่วันหนึ่งทุกการกระทำจะย้อนกลับมาอย่างแน่นอน”นายราเมศ ระบุ
‘พิธา’อ้อนคนอีสานสู้คดียุบพรรค
วันเดียวกัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลได้ร่วมทำบุญและรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ ที่วัดกู่ประภาชัย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่นซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายก่อนเดินทางกลับกรุงเทพฯซึ่งมีประชาชนรับขวัญ ผูกข้อมือ ผูกผ้าขาวม้ารอบเอวและคล้องพวงมาลัยต้อนรับอย่างอบอุ่น นายพิธาได้กล่าวกับประชาชนช่วงหนึ่ง ว่าตลอด3วัน ตนได้ร่วมเล่นน้ำสงกรานต์พบปะชาวอีสานทั้งที่ จ.หนองคาย อุดรธานีและขอนแก่น เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก
“จากนี้เป็นต้นไป ก็คงถึงเวลาที่ชีวิตทางการเมืองของผมจะเข้าสู่ช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม จากคดียุบพรรคก้าวไกลที่กำลังดำเนินอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ อาจนำไปสู่การตัดสิทธิ์ ผมในการเป็นผู้แทนราษฎร เชื่อว่าคำวินิจฉัยจะออกมาไม่เกิน 1เดือนจากนี้ นี่อาจจะเป็นสงกรานต์ครั้งสุดท้ายของผมในฐานะผู้แทนราษฎร”นายพิธา ระบุ
ฝันอีก3ปีจะกลับมาฐานะนายกฯ
นายพิธายังกล่าวขอบคุณพี่น้องชาวอีสาน ที่ร่วมให้ขวัญและกำลังใจตนและพรรคก้าวไกลอย่างเต็มเปี่ยมก็ขอรับไว้เป็นกำลังใจทั้งหมด กำลังใจเหล่านี้ เปรียบเสมือนลมใต้ปีกที่คอยพยุงตนและพรรคก้าวไกลให้สู้ต่อไปอย่างเข้มแข็ง ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอีก1เดือนต่อจากนี้ หวังว่าพวกเราจะชนะ เพื่อให้ครั้งต่อไปที่กลับมาหาพี่น้องประชาชน ตนจะยังกลับมา ในฐานะพรรคก้าวไกลและผู้แทนราษฎรเช่นเดิม และถ้าเป็นไปได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าก็อาจจะกลับมา ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยด้วย
ผลโพลหวังพึ่ง‘ทักษิณ’แก้ปากท้อง
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลสำรวจเรื่อง”จับกระแสโพล ทักษิณ ชินวัตร”กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ ดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) รวมจำนวนตัวอย่างในการวิเคราะห์ทางสถิติทั้งสิ้น จำนวนทั้งสิ้น 1,158 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1-6 เมษายน ผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 66.9 ยอมรับอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นผู้มีบารมี ขณะที่ร้อยละ33.1 ระบุว่า ไม่เป็น
ที่น่าพิจารณาคือ เมื่อถามถึงความต้องการของประชาชนให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร เร่งแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน ใน 5 อันดับแรกได้แก่ปัญหาปากท้อง,ต้องการเงินดิจิทัลทั่วถึง กระตุ้น SME ความยากจน ร้อยละ 71.8 , มิจฉาชีพออนไลน์ คอลเซ็นเตอร์ แก๊งดูดเงินประชาชน โจรไซเบอร์ ร้อยละ65.5 , ยาเสพติด ปัญหาเด็ก เยาวชน ร้อยละ62.3,ปัญหาหนี้ทั้งในและนอกระบบ ร้อยละ 60.1 และปัญหาฝุ่น PM หมอกควัน มลพิษ สิ่งแวดล้อม ร้อยละ 58.9 ตามลำดับ
ทั้งนี้ซู เปอร์โพลระบุว่าประชาชนส่วนใหญ่มองว่าอดีตนายกฯทักษิณ เป็นผู้มีบารมี สามารถช่วยแก้ไขปัญหาความต้องการของประชาชนได้ ความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ เป็นเรื่องของปัญหาปากท้อง ต้องการเงินดิจิทัลทั่วถึง กระตุ้น SME แก้ไขปัญหาความยากจนทั่วประเทศ อีกทั้ง ยังต้องการให้แก้ไขปัญหามิจฉาชีพออนไลน์ โจรไซเบอร์ ยาเสพติด ปัญหาหนี้และปัญหาฝุ่น PM ส่วนใหญ่เป็นปัญหาประชาชนประสบพบเป็นเวลานานทำให้ประชาชนคาดหวังให้อดีตนายกฯทักษิณ เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน บรรเทาทุกข์ และแก้ไขปัญหาที่พบเจอให้หมดไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี