"เศรษฐา"เผยส่งข้อความผ่านกลุ่มงานต่างประเทศ ขอโทษ"ปานปรีย์"ถ้าทำให้ไม่สบายใจ บอกได้คุยกันก่อนปรับ ครม.แล้ว ชี้มีทั้งคนสมหวัง-ผิดหวัง พร้อมรับผิดชอบ แย้มมองหาคนใหม่ตั้งแต่เมื่อคืน ดีกรีการทูต-การเมือง ทำงานเบื้องหลัง"เพื่อไทย"มานาน จ่อเรียกรมต.เก่า-ใหม่ ประเมินจุดแข็ง-อ่อน พร้อมถกขุนคลัง เร่งใช้งบ 5 เดือนให้เร็ว
เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เปิดห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ ลาออก หลังปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ดำรงตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศ เพียงคำแหน่งเดียว ว่า เรื่องของโผอย่างที่บอก ถ้าพร้อมแล้วก็บอก ซึ่งเป็นเรื่องของขั้นตอนที่จะต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ ลงมา บางทีผู้สื่อข่าวถามมาอาจไม่เหมาะสมที่ตนจะพูดก่อนที่จะมีการโปรดเกล้าฯ กันมา ขอให้เข้าใจด้วยตรงนี้ ส่วนเรื่องของนายปานปรีย์ ก็เคารพในการตัดสินใจของท่าน และโดยส่วนตัวของตนก็ได้รู้จักกับท่านมาหลายสิบปี ลูกก็เป็นเพื่อนกัน จริงๆ ส่วนตัวรักชอบกันดี ก็เคารพในการตัดสินใจของท่าน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูเหมือนนายปานปรีย์จะเผยแพร่หนังสือลาออกก่อนที่จะส่งให้กับนายกฯ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตามที่ได้ยินก็เป็นอย่างนั้น เมื่อถามว่า แสดงถึงความไม่พอใจหรือเปล่า นายเศรษฐา กล่าวว่า "ผมถือว่าผมพูดในแง่องค์รวมมากกว่า ในการที่มีการปรับเปลี่ยนหน้าที่ หรือ ครม.ต่างๆ ผมเชื่อว่าก็คงมีคนที่พอใจ ไม่พอใจ สมหวัง และไม่สมหวัง จริงๆ แล้วผมอยากจะโฟกัสในสิ่งที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดีมาด้วยเวลา 7 - 8 เดือนที่ผ่านมาดีกว่า ในเรื่องที่ท่านทำมาและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีคนใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนก็จะมาสานต่อในเรื่องดีๆ เหล่านี้"
เมื่อถามว่า ก่อนที่จะปรับ ครม.นายกฯ ได้มีการพูดคุยหรือแจ้งกับนายปานปรีย์ ก่อนหรือไม่ และหลังที่นายปานปรีย์ลาออกได้มีการพูดคุยกันแล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า "ขอตอบคำถามหลังก่อน ผมได้มีการส่งข้อความไปหานายปานปรีย์ ในกรุ๊ปที่เกี่ยวกับเรื่องของการต่างประเทศ ผมบอกว่า "ผมขอโทษถ้าเกิดผมทำให้พี่ไม่สบายใจเรื่องอะไร ก็ขอขอบคุณที่ช่วยงานกันมา" และเรื่องที่ถามว่าได้มีการแจ้งนายปานปรีย์ก่อนที่จะปรับ ครม.หรือไม่นั้น อย่างที่ผมเรียนเมื่อวันศุกร์ที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเชิญหลายๆ ท่านมาพูดคุยกัน และนายปานปรีย์ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ท่านที่เรียกเข้ามาพูดคุยกัน ผมเชื่อว่าวันนั้นก็เป็นเรื่องของการสนทนาระหว่างบุคคลสองคนแล้วกัน ผมมั่นใจว่าผมพูดอะไรไป และผมเชื่อว่าในฐานะนายกฯ ผมมีความชัดเจนในเรื่องของการที่ผมได้มีการบอกกล่าวอะไรไป"
เมื่อถามว่า จะหาบุคคลมาดำรงตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ โดยเร็วใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใช่ครับ ซึ่งจะต้องมีการทูลเกล้าฯ รายชื่อใหม่ เมื่อถามว่า ระหว่างนี้นายกฯ จะดูแลเองหรือมอบหมายใคร นายกฯ กล่าวว่า ตามประกาศเก่าของ ครม. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จะดูแลไป เมื่อถามว่า ได้มองหาบุคคลใหม่แล้วหรือยัง นายเศรษฐา กล่าวว่า มองแล้ว และมองตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
เมื่อถามว่า เปิดเผยได้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ยังไม่ได้ ซึ่งต้องมีการผ่านคณะกรรมการคัดกรอง และอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติหลายอย่าง ไม่อยากจะให้เป็นการบอกไปแล้ว เดี๋ยวจะเกิดความสมหวัง ผิดหวังอีก ต้องเคารพในแง่กระบวนการขั้นตอนต่างๆ ที่มีมา ยืนยันว่า จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้เข้าใจว่าจะต้องมีคน ไม่ใช่แค่นายปานปรีย์ท่านเดียว คงมีหลายท่านที่จะมีสมหวัง และอาจจะมีไม่พอใจ แต่ยืนยันว่า ตนรับผิดชอบ และต้องมีการพูดคุยกัน
เมื่อถามว่า ที่มองไว้เป็นคนในพรรค หรือคนภายนอกการเมือง นายเศรษฐา กล่าวว่า พูดลำบาก เพราะจริงๆ แล้วท่านเองอยู่ในแวดวงของการทูต และแวดวงการเมือง ก็อาจจะเป็นคนทำงานข้างหลังของพรรคเพื่อไทย (พท.) มาโดยตลอด และจิตวิญญาณแน่นอน คิดถึงประโยชน์พี่น้องประชาชน เมื่อถามว่า นายปานปรีย์ให้เหตุผลว่าการที่เป็น รมว.การต่างประเทศ และต้องควบรองนายกฯ ด้วย เพื่อความน่าเชื่อถือ นายเศรษฐา กล่าวว่า ก็มีเหตุมีผล แต่ทุกๆ กระทรวงเองก็อยากจะมีการควบด้วยในตำแหน่งรองนายกฯ หรือเปล่า ซึ่งหลายๆ ตำแหน่งจะต้องมีการประสานกับหลายหน่วยงาน และบุคคลทั้งหลาย ปัจจุบันนี้เราก็มีรองนายกฯ 6 ท่านแล้ว เชื่อว่าเพียงพอ แล้วมีกี่กระทรวงใช่ไหม ถ้าทุกๆ กระทรวง 9 กระทรวง ต้องมีรองนายกฯ ด้วย ก็คงเป็นไปไม่ได้
นายเศรษฐา กล่าวอีกว่า ในแต่ละรัฐบาล มีทั้งรองนายกฯ ควบ รมว.การต่างประเทศ เหมือนกัน ตนขอใช้คำว่า อำนวยความสะดวก หรือมีการช่วยเหลือผลักดันเรื่องต่างๆ หากจะต้องมีการทำงานข้ามกระทรวง เช่น วีซ่าฟรี อาจจะต้องมีการทำงานข้ามไปถึงกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายความมั่นคงด้วยเหมือนกัน เรื่องของการทำเขตการค้าเสรี (FTA) ก็มีกระทรวงพาณิชย์ด้วย มีผู้แทนการค้าไทย ซึ่งเชื่อว่าเราทำงานเป็นทีมได้อยู่แล้ว และใช้คำว่าความจำเป็นดีกว่า ที่จะต้องมีการควบ ตนถือว่าอาจจะไม่จำเป็น แต่อย่างที่บอก หลายๆ เรื่องมุมมองของแต่ละคนแตกต่างกันไป และเราเองก็มีวิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป และคิดว่าเราควรจะยึดโยงในเรื่องความเป็นมิตรดีกว่า และมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน อย่างที่ได้เรียน ถ้าตนทำงานแล้วไม่พอใจ ก็ได้ขอโทษท่านไปแล้ว ซึ่งมันเป็นเรื่องความเห็นต่าง แต่ทั้งหมดนี้ตนรับผิดชอบ และจะพยายามดำเนินการต่อไปด้วยจุดมุ่งหมายเอาประโยชน์ประเทศชาติเป็นที่ตั้ง
เมื่อถามว่า รู้สึกเสียดายนายปานปรีย์หรือไม่ เพราะได้รับคำชื่นชมทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ว่านายปานปรีย์ทำงานได้ดี นายกฯ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าตรงนี้ตนเสียดายทุกคนที่ต้องมีการเปลี่ยนออกไป แต่ในบริบทของการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆ ช่วงเวลาที่เราบริหารประเทศ มันมีความจำเป็นหรือมีความต้องการของการแก้ไขปัญหา จึงต้องมีการเปลี่ยนบุคลากร ไม่ใช่แค่ฝ่ายบริหารอย่างเดียว ฝ่ายนิติบัญญัติเองก็ต้องมีการปรับ เพื่อให้บุคคลที่เหมาะสมและมีความชำนาญมากกว่าในด้านนั้นๆ เข้าไปทำหน้าที่ ไม่ได้หมายความว่าท่านที่ถูกปรับออกไม่มีความสามารถในการบริหาร แต่อย่างที่บอกรัฐบาลนี้อยู่ 4 ปี และในอดีตก็ไม่ใช่ว่าท่านออกไปแล้วจะไม่ได้กลับมาอีก ก็มีหลายๆ เคสที่ออกไปแล้วได้กลับมาอีก
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้นายกฯ เคยบอกว่าปรับ ครม.ครั้งนี้จะไม่ผิดฝาผิดตัว มั่นใจใช่หรือไม่ว่าไม่ผิดฝาผิดตัว นายกฯ กล่าวว่า มั่นใจ แต่แน่นอนมุมมองของแต่ละคนมีความเห็นและเข้าใจในบุคคลนั้นๆ ที่เข้ามาทำงานแตกต่างกันไป แต่ตนมั่นใจว่าบุคคลที่ดึงเข้ามาทำงานเป็นคนที่มีความสามารถ และมีความเชี่ยวชาญตรงตามกระทรวงทุกอย่าง
เมื่อถามว่า ได้มีการเตรียมตำแหน่งปลอบใจสำหรับรัฐมนตรีที่หลุด ครม.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ก็การเตรียมงาน และเดี๋ยวต้องมีการพูดคุยกันในพรรค ยืนยันว่า ตนไม่ได้มีความขัดแย้งส่วนตัวกับรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่ง แต่ก็เข้าใจได้ว่าคงมีคนผิดหวัง และสมหวัง อย่างที่ตนบอก และเป็นหน้าที่ของตนที่จะต้องบริหารเรื่องของความคาดหวังและเรื่องของหน้าที่ใหม่ๆ ควบคู่ไปกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ด้วย
เมื่อถามต่อว่า ได้มีการพูดคุยกับ น.ส.แพรทองธาร ก่อนหน้านี้หรือไม่ว่าอาจจะมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้นหลังการปรับ ครม.โดยนายกฯ ยืนยันว่า ได้มีการพูดคุยกันตลอด วันหนึ่งสองถึงสามครั้งก็มีในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง ครม.มีการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกฝ่าย
เมื่อถามต่อว่า มีรัฐมนตรีอีกหนึ่งคนที่แสดงความไม่พอใจ คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว เพราะช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่การหาเสียง และการทำหน้าที่หัวหน้าพรรคก็ควบคู่กันมาตลอด นายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่ นพ.ชลน่าน เพียงคนเดียว ยังมี นายไชยา พรหมา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ , นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ช่วยทำงาน เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตลอดในช่วงการเลือกตั้ง
"ผมก็เคยพูดว่าพี่หมอชลน่านเองเป็นคนที่ช่วยติว เวลาที่ผมจะลงพื้นที่ รวมถึงการปราศรัยต่างๆ เราก็ต่อสู้ด้วยกันมา แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเรื่องส่วนตัว หรือมีความขัดแย้งอะไร แต่ก็เข้าใจว่าท่านคงมีความผิดหวัง แต่เดี๋ยวก็คงมีการพูดคุยกัน ก็หวังว่าทุกอย่างจะเดินไปข้างหน้าได้"
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งแรกที่นายกฯ จะพูดกับ ครม.ชุดใหม่ คืออะไร นายกฯ กล่าวว่า มีสองขั้นตอน โดยจะเป็นการส่วนตัวก่อนว่าแต่ละท่านตนมีความคาดหวังอย่างไร และบางคนรู้จักกันมาก่อน เคยทำงานกันมาแล้ว แน่นอนว่าต้องมีจุดแข็ง และจุดที่ต้องปรับปรุงคืออะไร และในทางเดียวกันตนก็จะฟังด้วยว่า ที่ท่านทำงานมากับตนและถูกเปลี่ยนกระทรวง หรือเข้ามาใหม่ มองว่าตนมีความบกพร่องอย่างไร เรื่องไหน ตนจะได้นำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไข เพราะการสื่อสารเป็นเรื่องสองทาง ซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าในแง่ของการพูดคุยเจรจากับรัฐมนตรีที่เข้ามาใหม่ ส่วนในองค์รวมที่เราพูดคุยกันในวันที่จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้น ก็แน่นอนว่าจะต้องมีการพูดคุยถึงประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก และเรื่องการประสานงานระหว่างกระทรวงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะปัจจุบันเรื่องการทำงานไม่ใช่ว่าจะสามารถจัดทำงานได้กระทรวงเดียว บางเรื่องต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกกระทรวงในการผลักดันข้อกฎหมาย หรือในแง่ของการบริหารราชการแผ่นดิน และการผลักดันนโยบายหลักของรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวขอให้นายกรัฐมนตรีพูดถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของรัฐมนตรีที่ผ่านมา นายเศรษฐา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ควรจะไปพูดคุยในสถานที่ที่เหมาะสมจะดีกว่า เพราะแต่ละคนอาจจะไม่อยากให้พูด ว่าจุดอ่อน จุดแข็งคืออะไร เป็นเรื่องที่ต้องเคารพสิทธิส่วนบุคคล เป็นเรื่องของการบริหารงาน และตนเองก็น้อมรับในเรื่องที่ตนเองอาจจะบกพร่อง หรืออาจทำไม่ถูกต้อง ไม่ดีก็น้อมไปปฏิบัติอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า เหตุใดจึงมีการตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึง 3 คน โดยการโยก นายจักรพงษ์ แสงมณี จากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักฯ ด้วย นายกฯ กล่าวว่า อย่างที่บอก ความเข้าใจของตนก็คือ นายปานปรีย์เหลือเพียงตำแหน่งเดียว คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะได้โฟกัสงานมากยิ่งขึ้น ความต้องการในส่วนของรัฐมนตรีช่วยก็อาจจะน้อยลงไป และการที่ให้นายจักรพงษ์ มาเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ก็เป็นไปตามที่ผู้สื่อข่าวคาดการณ์ คือให้มาดูแลเรื่องงบประมาณ เพราะเคยเป็นเลขานุการอดีตรัฐมนตรีรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง สมัย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งมีความชำนาญในด้านนี้อยู่แล้ว ก็จะได้มาช่วยผลักดันนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งงบประมาณที่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า งบประมาณปี 2567 ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภา ทำให้เหลือเวลาเพียง 5 เดือน ในการใช้งบประมาณปี 2567 ซึ่งถือว่ามีความท้าทายที่ต้องเร่งจัดการเรื่องงบประมาณไปสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด จึงต้องการคนที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และบ่ายวันเดียวกันนี้ ตนจะเชิญ นายพิชัย ชุณหวชิร ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอธิบดีกรมบัญชีกลาง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกระจายงบประมาณอยู่แล้ว มาพูดคุยถึงความจำเป็นเร่งด่วนว่ามีอะไรบ้าง ทุกอย่างจะพยายามทำให้ดีที่สุด และยืนยันว่า จะต้องมีการพูดคุยกัน และหวังว่าทุกอย่างจะจบได้ด้วยดี
เมื่อถามว่า มีกังวลเรื่องของแรงกระเพื่อมหรือไม่ เพราะยังมีความไม่พอใจในการปรับและโยกกระทรวง นายกฯ ย้อนถามว่า สลับตำแหน่งระหว่างใครกับใครถามให้ชัด จะได้ตอบได้ชัดเจน อย่างตรงไปตรงมา ก่อนกล่าวต่อว่า ส่วนตัวเชื่อว่าแรงกระเพื่อมความไม่พอใจ ก็ต้องมีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว มีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ ที่พอใจคงไม่พูดซึ่งเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ก็ต้องเคารพกับตำแหน่งที่เข้ามาทดแทน ส่วนคนที่ไม่พอใจก็เป็นหน้าที่ของตนต้องอธิบาย และพยายามที่จะหาตำแหน่งใหม่ใหม่หรือหางานที่เหมาะสมรองรับ ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นทีมไทยแลนด์ เราเป็นทีมงานที่มาทำงานเพื่อประชาชน
เมื่อถามว่า ในอนาคตภูมิคุ้มกันที่ดีของรัฐมนตรีคือการทำงานเพื่อประชาชนใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวยืนยันว่า ใช่ และตนยืนยันมาโดยตลอด และยึดโยงเรื่องนี้มาโดยตลอด ซึ่งเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านไม่ว่าจะเป็นคนเก่าหรือว่าที่คนใหม่ ก็เข้าใจอยู่แล้วถึงความเดือดร้อนใจของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นเรื่องการใช้ความชี้วัดและระยะเวลาในการทำงานให้สำเร็จ เรื่องการทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดโยงกับพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เมื่อถามว่า การเพิ่มรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มาอีกหนึ่งคน เพื่อมาช่วยดูเรื่องของดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะต้องรอบคอบ และสัปดาห์นี้นายกฯ จะมีการเรียกประชุมเรื่องนี้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ครับ ความจริงแล้วกระทรวงการคลังมีภารกิจเยอะมาก ขณะที่นายพิชัยเองก็ควบรองนายกฯ ด้วย ทำให้มีภารกิจที่จะต้องดูแลหลายอย่าง และมีหน่วยงานของรัฐอีกหลายหน่วยงาน ซึ่งจะต้องแบ่งปัน ซึ่งจะต้องมีการแบ่งงานกันเพื่อทำงาน เพราะฉะนั้นทั้ง 3 คน มีงานล้นมืออยู่แล้ว ขณะที่ว่าที่รัฐมนตรีคนใหม่ อย่างเช่น นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล ก็เคยอยู่กระทรวงการคลังมาก่อน และเป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทย และทีมงานเศรษฐกิจอยู่แล้ว และมีความชำนาญงานอยู่แล้ว ตนเชื่อว่าเป็นคนที่มีบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตน และเป็นคนน่ารักอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการทำงานใหม่และการแบ่งงานใหม่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งตนให้เกียรติทุกคนอยู่แล้ว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี