ชี้ชัดขัดพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
เบรกล้วงเงินธกส.
‘เรืองไกร’ยื่นปปช.สอบเงินดิจิทัล
‘ไทยสร้างไทย’ออกโรงหวั่นทุจริต
ไม่เชื่อเกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ
แนะถ้าทำได้จริงให้แจกเป็นเงินสด
“เรืองไกร” ร้อง ป.ป.ช.สอบ “Digital Wallet” ล้วงเงิน ธ.ก.ส.วงเงิน172,300 ล้านบาท ขัด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ม.28 หรือไม่ ขณะที่“ไทยสร้างไทย” เตือนรัฐบาล นโยบายแจกเงินหมื่นไม่ทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจระยะยาว ขอฟังเสียงประชาชนแจกเป็นเงินสด ห่วงนโยบายช่องโหว่เพียบ ส่อทุจริตเชิงนโยบายแค่ค่าธรรมเนียมกู้เงินสดแปลงเป็นดิจิทัล และดิจิทัลกลับเป็นเงินบาท ใช้งบ20,000ล้านบาทคุ้มค่าหรือไม่
เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2567 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า จากการติดตามโครงการ Digital Wallet วงเงิน 500,000 ล้านบาท ที่มีการกล่าวอ้างว่าแบบนามธรรมว่าทำได้ ๆ แต่ยังไม่เห็นรูปธรรมความเป็นไปได้ของโครงการที่ชัดเจน และหลายฝ่ายทักท้วงว่า จะขัดต่อกฎหมาย แต่พวกที่อยากที่จะทำโครงการนี้ ก็หารับฟังไม่ โดยวงเงิน 500,000 ล้านบาท จะมีการจะใช้เงิน Digital Wallet ผ่าน ธ.ก.ส. อยู่จำนวน 172,300 ล้านบาท
นายเรืองไกร กล่าวว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2567 ประกอบกับความเห็นของกฤษฎีกาน่าเชื่อว่า รัฐบาลจะมีการใช้เงินโครงการ Digital Wallet จำนวน 172,300 ล้านบาท ผ่าน ธ.ก.ส. ดังนั้น ถ้านำ Digital Wallet ไปแจกในมูลค่าคนละ 10,000 บาท ก็มีเกษตรกรที่จะได้รับ 17.230 ล้านคน
เชื่อก่อให้เกิดความเสียหาย
นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ จึงควรตรวจสอบก่อนว่าจำนวนเกษตรกร 17.230 ล้านคน มีอยู่จริงหรือไม่ และการแจก Digital Wallet ให้เกษตรกรแต่ละคนนั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ ธ.ก.ส. หรือไม่ และจะซ้ำซ้อนกับโครงการอื่นที่รัฐบาลชุดนี้เคยช่วยเหลือเกษตรกรผ่าน ธ.ก.ส. ก่อนหน้านี้ หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า ทั้งนี้ หากย้อนดูมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 จะพบว่า คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติ โครงการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ที่นายเศรษฐา ทวีสินในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอ มาก่อนแล้ว โดยโครงการดังกล่าวจะใช้กับเกษตรกร 2.698 ล้านคน โดยมีวงเงิน 12,096 ล้านบาท โดยระบุข้อมูลไว้ว่า ยอดคงค้าง ณ วันที่ 22 ก.ย. 2566 ที่รัฐบาลต้องรับชดเชยจำนวน 1,000,295.186 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 31.41 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เมื่อนำยอดเงิน 12,096 ล้านบาท มารวม ภาระก็จะเพิ่มขึ้นเป็น1,012,391.186 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 31.79 ที่ยังไม่เกินอัตราร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2566
นายเรืองไกร กล่าวว่า เกณฑ์อัตราร้อยละ 32 มาจากหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ระบุไว้ว่า ตามประกาศคณะกรรมการฯ เรื่อง กำหนดอัตราชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรับในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 พ.ศ. 2565 กำหนดว่า อัตรายอดคงค้างรวมทั้งหมดของภาระที่รัฐต้องรับผิดชอบชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐในการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ต้องมียอดคงค้างทั้งหมดรวมกันไม่เกินร้อยละ 32 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
เผยรบ.ต้องชดเชยบานเบอะ
นายเรืองไกร กล่าวว่า ดังนั้น คณะรัฐมนตรีต้องรู้อยู่แล้วว่า ยอดคงค้างที่รัฐบาลต้องรับชดเชย จำนวน 1,012,391.186 ล้านบาท จะต้องมารวมกับยอดโครงการ Digital Wallet จำนวน 172,300 ล้านบาท ด้วย ซึ่งจะทำให้ภาระที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบชดเชยฯ เพิ่มเป็น 1,184,691.186 ล้านบาท ซึ่งหากนำไปเทียบกับงบประมาณ 2567 จำนวน 3,480,000 ล้านบาท จะได้ร้อยละ 34.04 ซึ่งเกินกว่าร้อยละ 32 ดังนั้น โครงการ Digital Wallet ที่จะใช้ผ่าน ธ.ก.ส. น่าจะขัดต่อพ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ม. 28
นายเรืองไกร กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีเหตุอันควรสงสัยว่า เกษตรกรในโครงการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” จำนวน 2.698 ล้านคนกับเกษตรกรในโครงการ Digital Wallet จำนวน 17.230 ล้านคน จะเป็นเกษตรกรที่ซ้ำซ้อนกัน หรือไม่ ถ้าไม่ซ้ำซ้อนก็จะมีเกษตรกรรวม 19.928 ล้านคน ใช่หรือไม่ ซึ่งรัฐบาลก็ยังไม่เคยชี้แจงให้ชัดเจนว่า จำนวนเกษตรกรของ ธ.ก.ส. ที่ถูกต้องมีจำนวนเท่าใด
นายเรืองไกร สรุปว่า โครงการ Digital Wallet เฉพาะกรณีที่จะใช้ผ่าน ธ.ก.ส. ก็มีหลายประเด็นที่อาจไม่ชอบ วันนี้ ตนจึงส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึง ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบว่า โครงการ Digital Wallet วงเงิน 172,300 ล้านบาท ที่จะใช้ผ่าน ธ.ก.ส. นั้น จะทำให้ยอดภาระที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบชดเชยฯ เกินอัตราที่กำหนด หรือไม่ ขัดต่อพ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ม. 28 หรือไม่ และจำนวนเกษตรกรที่ถูกต้อง มีจำนวนเท่าใด เกษตรกรที่จะได้รับ Digital Wallet ซ้ำซ้อนกับเกษตรกรที่ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในโครงการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” หรือไม่
ไทยสร้างไทยตามขยี้ซ้ำ
วันเดียวกันนายรณกาจ ชินสำราญ คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคไทยสร้างไทย ย้ำถึงความกังวลต่อนโยบายเติมเงิน 1หมื่นบาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งผู้มีอำนาจอ้างว่าจะก่อให้เกิด 4 พายุหมุนกระแทกเม็ดเงิน 5 แสนล้านบาท กระจายรายได้ไปทุกชุมชนว่า ข้อเท็จจริงที่ประชาชนต้องรู้คือนโยบายแจกเงินหมื่น มีผลกระทบต่อสถานะทางการคลังของประเทศ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงระยะสั้นเท่านั้น โดยเศรษฐกิจจะเติบโตเพียง 1%กว่าๆของ GDP จากนั้นก็จะกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง จึงทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจจะหมุนเวียนเป็นพายุหมุนในระยะยาวเกิดขึ้นได้ยาก
พร้อมย้ำด้วยว่า ที่มาของงบประมาณ 500,000 ล้านบาทนั้น ไม่ตรงที่หาเสียงไว้กับประชาชน เพราะมาจากการกู้ ผ่านงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2 ปีงบประมาณ บวกกับการขอกู้ยืมจากธ.ก.ส. เป็นการสร้างหนี้สาธารณะที่มีมากอยู่แล้ว ให้กับเด็กเกิดใหม่ทุกคนเพิ่มอีก
ที่สำคัญการแจกเป็นดิจิทัลไม่แจกเป็นเงินสด ถือว่ารัฐไม่ฟังเสียงเรียกร้องจากพี่น้องประชาชนที่แสดงความต้องการชัดเจนว่าอยากได้เงินสด เพื่อนำไปเป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดการสร้างอาชีพ ทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่
เพราะการทำระบบ แอพพลิเคชันใหม่ ใช้เงินหลายพันล้าน ให้บริษัทใดทำ เป็นการเอื้อพวกพ้องหรือไม่ ? ธนาคารใหญ่ทำระบบหลายปีกว่าจะทำได้ นี่มีเวลาไม่กี่เดือน จะสำเร็จได้ยังไง ? และเหตุใดไม่ใช้แอพพลิเคชัน เป๋าตังค์ ที่มีฐานประชากร 40 กว่าล้านคนอยู่แล้ว ? ซึ่งประชาชนก็มีความคุ้นเคย
สูญเงินค่าธรรมเนียม2หมื่นล.
แถมมีค่าธรรมเนียมในการแลกเงิน 2 ต่อ จากการกู้เป็นเงินสดและแปลงเป็นเงินดิจิทัล และสุดท้ายต้องแปลงจากดิจิทัล กลับมาเป็นเงินบาท รัฐต้องสูญเสียงบประมาณอีกเท่าใด และให้บริษัทใดเป็นผู้ทำ ถ้าคิดค่าธรรมเนียมที่ 2% รัฐจะต้องสูญเสียงบประมาณแบบฟรีๆถึง 20,000 ล้านบาท เงินนี้ จะไปเข้ากระเป๋าใคร ?
ดังนั้นหากรัฐบาลจริงใจต่อประชาชน ต้องฟังเสียงและความต้องการของพี่น้องประชาชน ควรรับฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย นักเศรษฐศาสตร์ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งแนะนำว่าควรแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบางประมาณ 17-20 ล้านคน โดยแจกเป็นเงินสดเท่านั้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี