เว็บไซต์สื่อต่างประเทศรายงานข่าว “ทักษิณ”หารือตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ–รบ.พลัดถิ่นหวังยุติความขัดแย้งในเมียนมา ด้านนายกฯปัดไม่ทราบมีการพูดคุยกันหรือไม่ แต่เชื่อทุกคนหวังดีต่อปท. ย้ำจุดยืนไทยต้องการสันติภาพ ยึดแนวทางตามกรอบอาเซียน ขณะที่รมว.การต่างประเทศเผยเพิ่งจะทราบข่าวมา แต่ไม่เกี่ยวรบ.ไทย เป็นสิทธ์ิทางการเมียนมาจะหารือกับใคร ยันไทยดำเนินการตามกรอบอาเซียน
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ Aseannow.com เผยแพร่ข่าวระบุ เมื่อเร็วๆ นี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ได้หารือกับตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ และรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (เอ็นยูจี) ซึ่งเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นของเมียนมา เป้าหมายเพื่อช่วยยุติความขัดแย้งในเมียนมาที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2564
สำหรับการพบปะกันดังกล่าว เกิดขึ้นช่วงเดือนมีนาคมและเมษายนที่ผ่านมา โดยนายทักษิณได้พบกับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งรวมถึง สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) สภากอบกู้รัฐฉาน (RCSS) พรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเรนนี (KNPP) และองค์การแห่งชาติกะฉิ่น (KNO) ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมตัวต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา หลังการยึดอำนาจโดยรัฐบาลทหารเพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่นำโดย นางออง ซาน ซูจี การจับอาวุธขึ้นต่อสู้ได้ลุกลามไปทั่วประเทศ
ซึ่งความขัดแย้งดังกล่าวทำให้ประชาชนหลายล้านคนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของเมียนมา กองทัพเมียนมาต้องเผชิญความสูญเสียมากมายตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2566 ล่าสุดกองทัพอาระกันระบุว่า ได้จับกุมทหารเมียนมาหลายร้อยคน ความพ่ายแพ้ล่าสุดดังกล่าวยิ่งเพิ่มความเข้มแข็งให้กลุ่มต่อต้านรัฐบาล
Aseannow ยังระบุว่า ทักษิณอยู่ในฐานะที่จะเข้ามาแทรกแซงเรื่องดังกล่าวได้ เนื่องจากมีความรู้ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ควบคู่กับมีสัมพันธ์อันดีกับผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาบางคน โดยก่อนหน้านี้เขาเคยบอกว่าแรงงานต่างด้าวมีความสำคัญกับเศรษฐกิจไทย และเสนอให้อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทยสามารถทำงานในประเทศได้อย่างถูกกฎหมาย
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ถึงสถานการณ์ในเมียนมา กรณีมีกระแสข่าวนายทักษิณ เข้าไปช่วยเจรจากับตัวแทนชนกลุ่มน้อยว่า ส่วนตัวไม่ทราบว่ามีการเข้าไปช่วยเจรจาหรือไม่ ในส่วนไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานด้านความมั่นคงพูดคุยกับทุกกลุ่มอยู่แล้ว เป็นเรื่องของชั้นความลับ และไม่ต้องการเปิดเผย
นายเศรษฐากล่าวว่า เรายืนยันในหลักการเดิม ต้องการให้เกิดความสงบสุขและสันติภาพในเมียนมา และไทยมีความชอบธรรมในการเป็นผู้นำการเจรจา เพราะเรามีเขตชายแดนที่ติดกับเมียนมาจำนวนมาก แต่ยืนยันว่าไทยจะปฏิบัติตามมติของอาเซียนที่กำหนดกรอบขึ้นมา รวมทั้งเรื่องการช่วยเหลือเรื่องสิทธิมนุษยชน ไทยถือเป็นเรื่องสำคัญที่ดูแลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลอึดอัดใจหรือไม่ที่นายทักษิณเดินหน้าเจรจาคู่ขนานกับรัฐบาลไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีการไปพูดคุยกันหรือไม่ แต่เชื่อว่าทุกคนหวังดีกับประเทศ
ขณะที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการทำงานว่า ขอพูดคุยกับกระทรวงการต่างประเทศก่อน เพื่อให้ทุกอย่างเดินไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่ต้องการอย่างเดียวคือ การรับโจทย์จากนายกฯมาว่าอยากเห็นนโยบายการต่างประเทศและประชาชนในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีกระแสข่าวนายทักษิณไปพูดคุยกับตัวแทนชนกลุ่มน้อยหลังเกิดปัญหาในเมียนมาได้ตรวจสอบแล้วหรือยัง นายมาริษกล่าวว่า ตนก็ได้ทราบข่าวมาเช่นกัน และต้องยอมรับว่านายทักษิณเป็นคนกว้างขวางและมีเพื่อนฝูงมาก ซึ่งทางเมียนมาคงเห็นว่านายทักษิณจะสามารถช่วยได้ คงเป็นเรื่องที่ทางเมียนมาคุยกับนายทักษิณ ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลไทย อย่างที่ตนบอกว่าเพิ่งจะทราบเรื่องดังกล่าว
เมื่อถามว่า จุดยืนของรัฐบาลไทยคือ ต้องการให้เกิดความสงบเรียบร้อยในเมียนมาหรือไม่ นายมาริษกล่าวว่า ถูกต้อง ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้น ที่ผ่านมาไทยพยายามเป็นตัวกลางเจรจา อีกทั้ง ไทยก็ดำเนินการตามกรอบของอาเซียนด้วย ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักการที่ควรเป็น บางอย่างกำลังดำเนินการอยู่ ขอยังไม่เปิดเผย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไทยต้องการเห็นความสมานฉันท์ปรองดองเกิดขึ้นในเมียนมา เพราะถ้าปล่อยให้เป็นไปอยู่อย่างนี้ประเทศไทยก็ลำบาก ในฐานะที่เรามีพรมแดนเชื่อมต่อกับเมียนมายาวมาก อะไรที่เกิดขึ้นก็จะกระทบไทย ฉะนั้น ใครที่ช่วยอะไรได้ควรจะช่วย และไม่จำเป็นต้องทำอย่างเป็นทางการ อีกทั้งทางการเมียนมา รัฐบาลชนกลุ่มน้อย ขอให้นายทักษิณมาช่วย ก็เป็นเรื่องของเขา
ถามว่า แนวทางที่นายทักษิณไปช่วย ตรงกับแนวทางกับกระทรวงการต่างประเทศหรือไม่ นายมาริษกล่าวว่า ยังไม่เห็น เพิ่งได้ยินจากข่าว จึงไม่ทราบว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร และอย่างที่บอกว่าการดำเนินการตรงนี้ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาล เป็นเรื่องที่ทางการเมียนมาไปว่ากันเอง ถือเป็นสิทธิของเขาที่จะไปปรึกษาหารือกับใคร ย้ำว่าไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ในส่วนรัฐบาลก็ดำเนินการในส่วนของเรา ร่วมกับอาเซียน การช่วยเหลือด้านสิทธิมนุษยธรรมไทยก็ดำเนินการต่อไปภายใต้กรอบอาเซียน
นายมาริษ กล่าวด้วยว่า เรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย ขอไปพูดคุยกับกระทรวงให้เกิดความเหมาะสมก่อนว่ารายละเอียดควรเป็นอย่างไร ยืนยันยังไม่ได้พูดคุยกับหน่วยงานด้านความมั่นคง ส่วนที่มีการพูดคุยกันก่อนหน้ากับหน่วยงานด้านความมั่นคง ยังไม่ได้ลงรายละเอียด เพียงแต่นายกฯให้นโยบายกว้างๆ วันนี้นายกฯมอบนโยบายมาเรียบร้อย แต่ตนขอไปพูดคุยกับฝ่ายปฏิบัติก่อนว่าจะทำอย่างไรให้นโยบายเป็นเนื้อเดียวกัน รวมทั้งกับหน่วยงานด้านความมั่นคงว่าจะแบ่งงานอย่างไร เป้าหมายชัดเจนแล้วว่าเราต้องกำหนดวัตถุประสงค์ก่อนว่าต้องการอะไร และค่อยกำหนดใครควรมีหน้าที่อย่างไร
นายมาริษยังกล่าวถึงกระแสข่าวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมเดินทางกลับไทยซึ่งกระทรวงการต่างประเทศต้องเป็นด่านแรกในการประสานงานว่า เรื่องนี้ตนไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร ถามย้ำว่ามีการมองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจใช้สถานทูตของประเทศใดประเทศหนึ่งเพื่อรายงานตัว นายมาริษกล่าวว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องของการมอง ไม่เกี่ยวกับกระทรวงต่างประเทศ ยืนยันว่าตนยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีเรื่องนี้เข้ามา ขออนุญาตไม่ตอบ เพราะไม่เกี่ยวอะไรกับกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวถึงกรณีสื่อโซเชียลรายงานนายทักษิณ พูดคุยกับกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา เป็นตัวกลางเจรจาสันติภาพว่า ตนไม่เคยได้ยิน เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หากเป็นเรื่องจริงจะตรวจสอบได้หรือไม่ว่าเกินขอบเขตการพักโทษหรือไม่ พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่เคยได้ยิน เอาคำถามสมมติมา ก็ให้ตนไปทะเลาะกับคนอื่น ตนไม่เคยได้ยินนะครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี