ครม.เพิ่มงบ’67อีก1.2แสนล้าน

ถมดิจิทัลวอลเล็ต

ก.คลังยันแจกทันไตรมาส4

นายกฯเต้นเรียกถกรมต.ศก.

จีดีพีไทยโตต่ำสุดในอาเซียน

รมว.คลังเผยครม.อนุมัติกรอบงบประมาณ ปี’67 เพิ่มเติมอีก 1.22 แสนล้านโดยจัดทำเป็นพ.ร.บ.งบปี’67 เพื่อใช้ในโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต” โดยจะนำรายละเอียดหารือที่ประชุมกก.นโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมีนายกฯเป็นประธานปลายสัปดาห์นี้ เพื่อเคาะตัวเลขที่ชัดเจน ก่อนเสนอครม.อนุมัติอีกครั้ง 28 พฤษภาคม “จุลพันธ์”ยันเงินดิจิทัลทันไตรมาส4 ขณะที่นายกฯเรียกถกด่วนครม.เศรษฐกิจ หลังสภาพัฒน์ฯแถลงจีดีพีโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ แย้มเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

เมื่อวันที่ 21พฤษภาคม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ สืบเนื่องจากวันที่ 1 พฤษภาคม สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กค.หารือกับ สงป.เกี่ยวกับการบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อนำมาใช้ดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเลต ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวนทั้งสิ้น 3,480,000 ล้านบาท สงป. ได้จัดสรรงบประมาณแล้วรวม 3,457,941.24 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.37 โดยใช้จ่ายงบประมาณแล้ว จำนวน 1,749,963.43 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50.61 ของงบประมาณที่จัดสรร ทำให้คงเหลืองบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 สำหรับใช้จ่ายในระยะเวลา 5 เดือนที่เหลือไม่มาก

โฆษกรัฐบาลกล่าวต่อว่า ดังนั้น การบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยการจัดทำพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จึงเป็นวิธีการบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลที่จะเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลให้ประเทศ

สำหรับแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 มีสาระสำคัญ เช่น มุ่งเน้นดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลเพื่อเติมเงินในระบบเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง จัดทำงบประมาณเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวและส่งเสริมอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจให้สูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เป็นการกำหนดแผนและขั้นตอนปฏิบัติงานในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่บทบัญญัติของกฎหมายกำหนดไว้

ด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังกล่าวว่า หลังครม.มีมติเห็นชอบเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เรื่องของแหล่งเงินได้มอบให้สำนักงบประมาณ และกระทรวงการคลัง ไปหารือกัน และวันนี้สำนักงบประมาณเสนอครม.มีทางเลือกที่จะใช้งบกลางได้ หรือสามารถเปลี่ยนงบ แต่มีปัญหาทางเทคนิค ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้น จึงตัดสินใจว่าทำกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 แต่ต้องอยู่ภายใต้พ.ร.บ.งบประมาณ และหลักเกณฑ์วินัยการเงินการคลัง และอยู่ในกรอบหนี้สาธารณะ ไม่ให้เกินกรอบ 70% โดยจะนำรายละเอียดเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ ซึ่งมีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

นายพิชัยกล่าวต่อว่า ส่วนที่จะเสนอการจัดทำกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพิ่มเติม จำนวน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาลนั้น มีบางคนอาจคำนวณวงเงินไว้ประมาณซึ่งเป็นจำนวนสูงสุด ถ้าอยู่ในกรอบ ซึ่งต้องดูรายละเอียดอีกครั้งว่า เป็นเท่าไร โดยจะนำเสนอครม.อีกครั้ง 28 พฤษภาคม

นายพิชัยยังกล่าวถึงตัวเลขจีดีพี ไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 1.7% เป็นเรื่องที่ดีที่ตัวเลขจีดีพียังไม่ติดลบ ยังไม่อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ก็ยังถือว่า เติบโตต่ำกว่าที่คิดไว้ แต่ศักยภาพของไทยน่าจะเติบโตได้มากกว่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน รัฐบาลจึงเห็นว่า จำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ปัญหาเศรษฐกิจไทย มาจากโครงสร้าง ซึ่งต้องใช้เวลา แต่บางอย่างทำได้เลย ซึ่งวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจจะพิจารณาและเสนอครม.อีกครั้ง

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 ตามที่กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณเสนอ เพื่อดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เคยมีแนวทางที่จะใช้แหล่งเงิน 3แหล่งคือ แนวทางแรกพ.ร.บ.โอนงบประมาณปี 2567 , แนวทางที่ 2 การปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นหรืองบประมาณที่หน่วยรับงบประมาณไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 หรือใช้งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และแนวทางที่ 3 ขยายกรอบวงเงินมาตรา 28 ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง

นายเผ่าภูมิกล่าวต่อว่า ใน 3 แหล่งเงินนี้ รัฐบาลตัดแหล่งเงินในส่วนพ.ร.บ.โอนงบประมาณออกไป เพราะการโอนงบประมาณจะทำให้เกิดการชะลอตัวในการใช้จ่าย งบประมาณจะถูกแช่แข็งไว้ 2 เดือน ซึ่งไม่เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน จึงเหลือทาง 2 ทางคือ ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีหรืองบกลาง และขยายกรอบวงเงินมาตรา 28 ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง วันนี้ยังไม่ได้มีการหารือถึงกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีเพิ่มเติม 2567 ว่าจะเพิ่มขึ้นไปเท่าใด แต่สองทางเลือกที่เหลือนี้ จะจัดทำงบกลางและการจัดทำพ.ร.บ.งบเพิ่มเติมกลางปี ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้รวมกันจะต้องได้ 1.75 แสนล้านบาท ตามที่คุยกันไว้ ดังนั้น ในส่วนกรอบวงเงินของทั้งสองส่วนต้องหารือในที่ประชุมคณะกรรมการกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐช่วงปลายสัปดาห์นี้ ก่อนเสนอครม.พิจารณา 28 พฤษภาคม

ที่กระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่ากากระทรวงการคลังกล่าวถึงกรณีครม.เห็นชองกรอบปฏิทินการออก พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม กลางปีงบประมาณ 2567 และกลับมานำเสนอ ครม.อีกครั้งใน 1-2 สัปดาห์ โดยยังไม่ระบุตัวเลข ทั้งนี้ วงเงินที่เพิ่มเติมมานั้นเป็นไปตามมติ ครม.ที่เห็นชอบแหล่งเงินสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ในส่วนของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณปี 2567 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

“การทำงบเพิ่มเติมครั้งนี้ เป็นไปตามกระบวนการที่จะหาแหล่งเงินมาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งในส่วนแหล่งเงินจากงบประมาณรายจากปี 2567 ในกรอบเดิม 1.75 แสนล้านบาท ที่ครม.มอบหมายให้คลัง และสำนักงบประมาณไปทำการบ้านมา เขาก็เลือกวิธีเพิ่มงบประมาณรายจ่าย เนื่องจากหลังพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2567 มีผลบังคับใช้ กรมบัญชีกลางรายงานว่ามีการเบิกจ่ายที่ดี ทำให้คาดว่าจะเกลี่ยงบที่เหลือมาใช้ไม่เพียงพอ พร้อมทั้งไม่อยากให้การเบิกจ่ายสะดุด และวิธีโอนงบประมาณมีขั้นตอนที่ทำได้ช้ากว่า” นายจุลพันธ์กล่าว

และว่า ส่วนเงินที่จะมาใส่ในงบประมาณเพิ่มเติมนั้น ได้มาจากสองแหล่งคือ 1.รายได้ใหม่ ซึ่งรัฐบาลยังมีรายได้ที่ไม่ได้บรรจุในงบประมาณ และ2.การกู้ชดเชยขาดดุล ซึ่งเป็นตามกรอบ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง สำหรับขั้นตอนการทำพ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม กลางปีงบประมาณ 2567 หลังเสนอ ครม.ผ่านแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภาช่วงเดือนกรกฎาคม 2567

“ยืนยันว่ากระบวนการดังกล่าวไม่กระทบไทม์ไลน์โครงการดิจิทัลวอลเล็ตแน่นอน ยังเปิดให้ลงทะเบียนในไตรมาสที่ 3 และเริ่มใช้จ่ายในไตรมาสที่ 4 ปี 2567” นายจุลพันธ์กล่าว

นายจุลพันธ์ยังกล่าวถึงกรณีสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ประกาศตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ที่ขยายตัวได้เพียง 1.5% ถือว่ายังอยู่ในระดับชะลอตัวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการให้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจขึ้น เพื่อร่วมหารือถึงแนวทางกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังเห็นถึงประเด็นปัญหาของเศรษฐกิจที่ควรได้รับการกระตุ้น ซึ่งการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกเป็นผลจากภาคการผลิตอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว ในฐานะที่ตนกำกับดูแลหน่วยงานจัดเก็บรายได้ หรือ 3 กรมจัดเก็บภาษี เตรียมเข้ามอบหมายนโยบายและการดำเนินงานกับหน่วยงานในกำกับ โดยเฉพาะเรื่องจัดเก็บรายได้ที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงการขยายฐานภาษีด้วย

“ตัวเลขการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลนั้น ยอมรับว่าต่ำกว่าเป้าหมาย แต่ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ไม่น่าเป็นห่วงมาก เชื่อว่าตลอดทั้งปีงบประมาณการจัดเก็บรายได้จะเป็นไปตามเป้าหมาย โดยการจัดเก็บรายได้ที่ต่ำกว่าเป้าหมายนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลที่ได้ออกมาตรการมาดูแลประชาชน ซึ่งกระทบต่อการจัดเก็บ” นายจุลพันธ์ กล่าว โดยก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า จะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจอย่างไม่เป็นทางการวันที่ 27 พฤษภาคม ทันทีที่เดินทางกลับจากเยือนต่างประเทศ