วันที่ 12 สิงหาคม 2568 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก "Thirachai Phuvanatnaranubala - - ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล" ระบุว่า สัมพันธ์กัมพูชาติดหล่ม
ถามว่า ทำไมต้องเปลี่ยนรัฐบาลก่อน จึงจะแก้ปัญหากัมพูชาที่ติดหล่มได้?
ตอบว่า ผลสำรวจนิด้าโพลชี้ชัดว่าประชาชนเสื่อมศรัทธาในรัฐบาลนี้อย่างหนัก
ดังนั้น ไม่ว่ารัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย จะคิดหาทางแก้ปัญหานี้อย่างใด ประชาชนก็ยังจะระแวง
ตัวอย่างในคลิป ที่นายภูมิธรรมกล่าวถึงกรณีกัมพูชายิงใส่โรงพยาบาล 30 เตียง ในวันเกิดเหตุมีผู้ป่วยในอยู่ 38 คน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมวิถีกระสุนถึงตกที่ตึกนี้
นายภูมิธรรมตอบว่า วิถีเขายิงมาแบบกระจาย เขาไม่มีเป้าหมายสถานที่ล็อค ถ้ามีเป้าหมายสถานที่ล็อค มันก็จะอยู่ตรงนั้น
ผมตั้งข้อสังเกตว่า สำหรับบุคคลผู้ทำหน้าที่รักษาการนายกฯ การพูดเช่นนั้น ไม่เหมาะสมกับหน้าที่
ไม่ว่ากัมพูชาจะยิงโดยตั้งใจหรือไม่ ผลกระทบต่อเป้าหมายพลเรือนนั้น มีปัญหาทั้งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนคนไทย
นายภูมิธรรมจึงมีหน้าที่ต้องฟ้องต่อประชาคมโลก เพื่อเป็นการกดดันมิให้กัมพูชายิงเข้ามาในลักษณะที่อาจหลงไปยังอาคารพลเรือน และเนื่องจากเกิดผลกระทบต่อโรงพยาบาล ไม่ใช่อาคารบ้านเรือนธรรมดา จึงเป็นเรื่องที่ต้องยกขึ้นให้โลกรับรู้อย่างหนักแน่นเป็นพิเศษ
ดังนั้น นายภูมิธรรมที่กลับพูดในทำนอง ยกประโยชน์ คล้ายกับแก้ตัวให้แก่ทหารกัมพูชา จึงเป็นการลอยแพประชาชนคนไทย
ส่อถึงความในใจ ที่มีแต่ทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลลดลง
ในอีกสองรูปข้างล่าง ก็สะท้อนแนวคิดของรัฐบาลในลักษณะเดียวกัน
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวเมื่อ 12 ส.ค. ว่า
“กระทรวงพาณิชย์เร่งฟื้นการค้าชายแดน เล็งคุยกับ สปป.ลาว ขอส่งสินค้าผ่านไปเขมร“
ผมเสนอแนะว่ารัฐบาลควรจะตั้งหลักก่อน ว่าทำอย่างไรจะไม่เกิดปัญหาบริเวณชายแดนซ้ำอีก และมาตรการหนึ่งที่จะช่วยกดดันได้ ก็คือการพักส่งสินค้าไปกัมพูชาไว้ก่อน เพราะสินค้าไทยส่วน
ใหญ่เป็นของใช้จำเป็นแก่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
การที่กระทรวงพาณิชย์วางผลประโยชน์การค้าอยู่เหนือการบาดเจ็บล้มตายทั้งของพลเรือนและทหารไทยนั้น เข้าข่ายเป็นการทำงานเฉพาะส่วนเพื่อตอบโจทย์ให้แก่พ่อค้า โดยไม่คำนึงถึงแนวทาง
ป้องกันปัญหาแบบบูรณาการที่ทุกกระทรวงต้องเดินไปเป็นหนึ่งเดียว
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวเมื่อ 7 ส.ค. ว่า
“ยกเลิก MOU 43/44 เท่ากับเข้าทางกัมพูชา ไทยเสียเปรียบทันที เพราะมีสถานะเหมือนสนธิสัญญา เงื่อนไขสำคัญ ดึงกัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจากับไทย“
ผมเองไม่เห็นประโยชน์ที่ไทยจะไปเจรจาตาม MOU 43 เพราะระบุอ้างแผนที่ 1: 200,000 ที่ทำให้ไทยแพ้คดีเขาพระวิหารมาแล้ว และถ้ายึดตามแผนที่นี้ ไทยก็อาจจะแพ้คดีพื้นที่ปราสาทเล็กๆ ที่
ต่อเนื่องกับปราสาทพระวิหารซ้ำอีก
และผมไม่เห็นประโยชน์ที่ไทยจะไปเจรจาตาม MOU 44 เพราะระบุอ้างแผนที่ที่กัมพูชาลากเส้นฝ่าฝืนกติกาสหประชาชาติ และถ้ายึดตามแผนที่นี้ ไทยก็อาจจะเสียดินแดนผลประโยชน์ในทะเล
ทั้งสอง MOU ที่เป็นเอกสารราชการไทย แต่ไพล่ไปรับรู้สองแผนที่ ที่ไทยไม่ควรจะเข้าไปเกี่ยวข้อง อันเป็นปัญหาที่กระทรวงการต่างประเทศก่อขึ้น จึงมีหน้าที่จะคิดแนวทางแก้ไข
ส่วนการจะดึงกัมพูชากลับสู่โต๊ะเจรจานั้น กระทรวงการต่างประเทศควรบรรยายให้ประชาชนเข้าใจว่า หวังจะให้กัมพูชาสนองประเด็นใด อย่างไร และที่ผ่านมาที่ไม่เกิดขึ้นนั้น มีสิ่งใดเปลี่ยนไปที่จะ
ทำให้สำเร็จได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ถ้าหากกระทรวงการต่างประเทศกังวลความเสี่ยง กัมพูชาอาจจะฟ้องไทยที่แจ้งยกเลิก MOU แต่ฝ่ายเดียว ผมก็ขอเสนอแนะดังนีั
กรณี MOU 43 ไทยก็ควรเดินหน้าสร้างกำแพงตามแนวสันปันน้ำไปทันที ซึ่งไทยเพียงแต่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ระบุในสนธิสัญญาฯ เท่านั้น ไม่ได้เกินเลย
ส่วนถ้ากัมพูชาเห็นว่าเป็นการผิดข้อตกลง ก็ให้เขาไปร้องเรียนเอง หรือเร่งขอนัดประชุมกับไทยเอง
กรณี MOU 44 ไทยจะพัฒนาปิโตรเลียมร่วมกับกัมพูชาก็ต่อเมื่อมีการปรับแก้ไขเส้นของกัมพูชาในแผนที่แนบให้เป็นไปตามกติกาสหประชาชาติ
ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาจำเป็นต้องหาทางปรับเข้าสู่ปกติโดยเร็วก็จริง แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย และต้องมองล่วงหน้าป้องกันปัญหาไปได้ในอนาคต
วันที่ 12 สิงหาคม 2568
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี