‘เศรษฐา’บุกบ้านขอคำชี้แนะ‘วิษณุ’
ใช้บริการเนติบริกร
สู้คดีสว.ยื่นถอดถอนพ้นเก้าอี้
‘สมชาย’เตือน‘แม้ว’นายกฯเงา
เจอข้อหาครอบงำ-แทรกแซง
พท.เมินโพลล์‘ก.ก.’คะแนนนำ
นายกฯพบ“วิษณุ เครืองาม”ขอคำแนะนำในการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เปิดเผยรายละเอียด ขอให้เป็นเรื่องส่วนตัว มั่นใจในการสู้คดี ด้าน“สมชาย”โว มีสว.อยากเข้าชื่อสอยนายกฯนับ 100 คนยันทำเรื่องนี้ไม่ใช่การเมือง แต่เป็นเรื่องบ้านเมือง คาดศาลรธน.ใช้เวลาวินิจฉัย2 เดือนขู่’เศรษฐา’หากพ้นนายกฯ เจอเช็กบิล เอาผิดทางอาญาต่อ เหตุรู้อยู่แล้ว’พิชิต’ขาดคุณสมบัติ เตือน’ทักษิณ’ทำตัวเป็นนายกฯเงา ระวังโดนข้อหาครอบงำ-แทรกแซง ทำ’เศรษฐา’โดนสองเด้ง
เมื่อวันที่ 27พฤษภาคม2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเชิญนายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลที่แล้ว มาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ กรณี 40สว.ยื่นถอดถอนจากตำแหน่งปมเสนอชื่อนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ว่า “ผมไม่ได้เชิญท่านมาแต่ผมได้ไปหาท่านที่บ้านพัก ซึ่งได้มีการพูดคุยกันแล้ว” เมื่อถามว่า นายวิษณุ ได้ให้คำปรึกษาในการชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้เป็นเรื่องระหว่างตนกับนายวิษณุดีกว่า ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ความคืบหน้าในการทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญเกือบสมบูรณ์แล้วหรือยัง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า“ยังครับ”
นายกฯหารือ’วิษณุ’มั่นใจสู้คดีสว.
เมื่อถามว่า ยังติดปัญหาอะไรอยู่ในเศรษฐา กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่เสร็จ เมื่อถามว่าการที่ได้ไปขอคำปรึกษาจากนายวิษณุทำให้มั่นใจใช่หรือไม่ว่าการทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญจะสู้ได้แน่นอน นายเศรษฐา กล่าวว่า “มั่นใจครับ“เมื่อถามว่าระยะเวลา 15วัน เพียงพอหรือไม่ในการทำคำชี้แจง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เข้าใจว่าเพียงพอ เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่ามั่นใจและไม่กังวลอะไรในการต่อสู้คดีใช่หรือไม่นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบย้ำว่า “ถามคำว่ากังวล สื่อก็ถามผมทุกวัน ซึ่งผมก็ตอบว่าผมกังวลตลอดในทุกๆเรื่อง”ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้เดินทางไปพบและขอคำแนะนำจากนายวิษณุที่บ้านพักเมื่อช่วงสายของวันเสาร์ที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา
เคารพผลโพลตามหลัง’ก้าวไกล’
นายเศรษฐา ยังให้สัมภาษณ์ถึงผลโพลสถาบันพระปกเกล้าสำรวจความเห็นประชาชนที่ความนิยมทั้งของพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีต่ำกว่าพรรคก้าวไกล จะต้องมีการเร่งโปรโมทหรือไม่เนื่องจากจะครบ 1 ปีแล้ว แต่คะแนนนิยมยังตามพรรคก้าวไกลอยู่ ว่า เรื่องนี้เป็นการสะท้อนความเห็นของประชาชน เราต้องให้ความเคารพกับข้อมูลที่ได้มา อย่างที่บอกว่าไม่อยากอ้างเรื่องงบประมาณปี2567 ที่เพิ่งได้นำออกมาใช้ ซึ่งวันนี้จะมีการประชุมที่ทำเนียบรัฐบาลในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เมื่อถามว่า มีประเด็นใดเป็นพิเศษที่จะพูดคุยในคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจวันนี้หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า จะต้องรอผลหลังเสร็จสิ้นการประชุม ก็ต้องให้เกียรติคณะกรรมการท่านอื่นด้วย เพราะไม่ได้เป็นการสั่งการแต่มาพูดคุย ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร มีข้อเสนอแนะอย่างไร ถ้าให้ข้อมูลก่อนจะไม่เหมาะสม
เมื่อถามว่า เบื้องต้นจะเป็นมาตรการระยะสั้นก่อนหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การประชุมวันนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย และไม่อยากใช้คำว่า ครม.เศรษฐกิจ แต่เป็นคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และย้ำว่าขอฟังความคิดเห็นก่อนว่าเป็นอย่างไร ยังไม่แน่ใจว่าจะออกมาเป็นมาตรการหรือไม่ เมื่อถามว่า มีมาตรการ ในใจแล้วใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ไม่ให้รายละเอียดบอกเพียงว่าเป็นไปตามที่พูดไปแล้ว
พท.ไม่หวั่นยังเป็นรัฐบาลครบ4ปี
ด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีสถาบันพระปกเกล้าเปิดเผยผลสำรวจความเห็น ว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปคะแนนนิยมของพรรค พท.จะลดลงและเป็นรองพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ว่า เรายอมรับผลสำรวจของสำนักโพลแต่ละสำนัก ซึ่งแต่ละสำนักอาจจะเหมือนหรือแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้เราต้องฟังอีกหลายๆ โพลเช่นเดียวกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลโพลที่ออกมาจะทำให้บั่นทอนการทำงานหรือไม่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ไม่บั่นทอน เนื่องจากคำถามถามว่า หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นเร็ววันนี้ แต่จริงๆการเลือกตั้งไม่ได้จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เพราะรัฐบาลจะอยู่ครบ 4ปี แน่นอน
“ฉะนั้น การเลือกตั้งจึงเหลืออีกสามปีกว่า โดยในช่วงเวลาที่เหลือ เรามั่นใจว่าหากงบประมาณผ่าน และต้องยอมรับว่าการบริหารประเทศหลังรัฐบาลรัฐประหาร บวกกับมาเจอสถานการณ์โควิด การเข้ามาบริหารประเทศก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผลักดันได้ง่าย” นายอนุสรณ์ กล่าว
รบ.ทำงานเรื่อยๆเห็นผลเป็นรูปธรรม
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า การบริหารประเทศเป็นโจทย์หินและเป็นโจทย์ยาก แต่ที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทำมาแล้วก็เห็นทิศทางว่า หากงบประมาณปี67 ออกต่อเนื่องด้วยงบประมาณปี68 การขับเคลื่อนนโยบาย เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่จะมาในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ รวมถึงอีกหลายนโยบายของภาครัฐ ตนคิดว่าผลงานของรัฐบาลจะดีขึ้น และหากเปรียบเทียบระยะเวลาการทำงาน 4 ปีนั้น รัฐบาลก็คงอยากทำงานแบบวิ่ง 100 เมตรคือเห็นผลโดยเร็ว แต่ในความเป็นจริงการทำงานก็เหมือนเป็นการวิ่งมาราธอน เพราะด้วยสถานการณ์ที่เราต้องก้าวข้ามผ่านวิกฤตแต่ละวิกฤต ฉะนั้นถือเป็นความท้าทายของรัฐบาล พท.ที่เข้ามาทำงานช่วงรอยต่อนี้และหากรัฐบาลทำงานต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นผลที่เป็นรูปธรรม
ยอมรับเพื่อไทยต้องทำงานหนักขึ้น
นายอนุสรณ์ยังกล่าวอีกว่า ส่วนผลโพลที่บอกว่าพรรคใดจะมีคะแนนนำนั้นอาจมีหลายปัจจัย แต่ต้องยอมรับว่าพรรคที่คะแนนนำนั้น ยังไม่เคยได้โอกาสเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งโดยหลักการการเป็นฝ่ายค้าน ประชาชนยังไม่เห็นฝีมือ เมื่อยังไม่เห็นฝีมือ ก็อาจจะคาดหวังว่าหากได้เข้าไปทำจะเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าใครจะเข้ามาทำก็ยากลำบาก แต่ในความยากลำบากก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาล พท.จะท้อถอยหรือเสียสมาธิอะไร แต่เราจะเดินหน้าทำงาน
เงินดิจิทัล1หมื่นสำเร็จคะแนนพุ่งแน่
เมื่อถามว่า จากผลโพลที่ออกมาจะทำให้ต้องทำงานหนักมากขึ้นหรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า เราน้อมรับและรับฟังผลโพลแต่ละสำนัก เพราะโพลแต่ละสำนักก็มีวิธีการที่แตกต่างกัน แต่เราคงจะไม่นำโพลมาบอกว่า เราท้อแท้หรือฮึกเหิมมั่นใจ ในส่วนของการทำงานเราก็ต้องตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ฉะนั้น โพลที่ออกมาตนมองว่าเป็นแรงผลักดัน เป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องเร่งสปีดผลักดันและออกนโยบายที่เป็นรูปธรรม และเชื่อว่าหากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตสามารถประสบความสำเร็จได้ ตนเชื่อว่าคะแนนนิยมจะดีขึ้นแน่นอน เมื่อถามต่อว่า พรรค พท.จะปรับเปลี่ยนการทำงานอะไรหรือไม่ นายอนุสรณ์กล่าวว่า ตนคิดว่าการทำงานของรัฐบาลมียุทธศาสตร์ มีแผนงานที่ชัดเจน แต่การเห็นโพลแล้วจะสปีดมากขึ้นหรือไม่นั้น ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีก็ทำงานอย่างหนักมาแต่แรก และทำงานอย่างหนักเช่นนี้มาตลอดอยู่แล้ว ฉะนั้น ตนคิดว่ารอให้นโยบายต่างๆ ที่เป็นเรือธงของ พท.ออกมาก่อน ความเชื่อมั่นและคะแนนนิยมจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
‘สมชาย’ชี้รมต.ต้องมีคุณสมบัติถูกต้อง
ที่รัฐสภา นายสมชาย แสวงการ สว. กล่าวว่า การทำหน้าที่ของ สว.ในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ หรือปิดเป็นความลับ แต่เมื่อฝ่ายค้านไม่ทำหน้าที่ตรวจสอบก็เป็นหน้าที่ของ สว.ที่จะต้องดำเนินการ เพราะเห็นว่าเป็นกรณีที่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติโดยเฉพาะคุณสมบัติของคนที่เป็นรัฐมนตรีจะต้องเหนือกว่าคุณสมบัติของ สส.จะต้องไม่มีความผิดเรื่องจริยธรรม หรือเบื้องหลัง ขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
รบ.ไม่สอบถามคุณสมบัติ’พิชิต’เอง
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่เป็นเรื่องของบ้านเมือง คนเป็นนายกฯจะต้องรับผิดชอบต่อการนำเอาชื่อรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติขึ้นทูลเกล้าฯ แม้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้สอบถามคุณสมบัติของนายพิชิต ต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่เป็นการถามเฉพาะรัฐธรรมนูญมาตรา 160 อนุ 6 และ 7 ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะควรถามมาตรา 160 ทั้งมาตรา ไม่ใช่แค่อนุใดอนุหนึ่ง ไม่ทราบว่าทำไมถึงถามแค่นี้ เป็นเรื่องที่นายเศรษฐาจะต้องไปชี้แจงต่อศาลเองและสว.ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการสอบถามกฤษฎีกาไปแค่ครั้งเดียว คือตั้งแต่การตั้ง ครม.เศรษฐา1 เมื่อเดือนกันยายน2566 แต่การปรับ ครม.ครั้งล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน2567ไม่มีการสอบถามเรื่องคุณสมบัติของ นายพิชิต เพิ่มเติมต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งที่ควรสอบถามเพิ่มเติมว่า นายพิชิต มีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีควบถ้วนตามมาตรา160และมาตราอื่นๆ หรือไม่” นายสมชาย กล่าว
นายกฯเสนอชื่อผิดจริยธรรมร้ายแรง
นายสมชาย กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ นายเศรษฐา รู้อยู่แล้วว่า นายพิชิต มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ดังนั้นการที่นายกฯผู้ถูกร้องที่1 ถือว่าถูกต้องแล้ว เพราะต้องรับผิดชอบต่อการนำรายชื่อ ครม.ขึ้นทูลเกล้าฯ ถ้ารู้ว่า นายพิชิต มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ แต่ยังนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ นายกฯก็จะมีความผิดจริยธรรมร้ายแรง ส่วนที่ต้องปิดรายชื่อ 40สว.เพราะเคยเกิดกรณีการนำชื่อ สว.ที่ลงชื่อตรวจสอบข้อพิพาทกรณีเขาพระวิหารไปเล่นงาน รวมถึงครอบครัวของ สว.ที่ร่วมลงชื่อ อีกทั้งสว.ที่ลงชื่อส่วนใหญ่เป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากถูกตามสัมภาษณ์ หรือถูกล็อบบี้ให้ถอนชื่อ เพราะแม้แต่วันที่ยื่นเรื่องต่อศาลแล้วยังมีความพยายามให้ สว.ถอนชื่อออก แต่ไม่สามารถถอนชื่อได้แล้ว ทั้งหมดนี้จึงจำเป็นต้องปกปิดรายชื่อและข้อมูลทั้งหมด
โวสว.เกือบ100คนขอลงชื่อสอบ
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อยู่ที่ตนคนเดียว เพราะมีการตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาที่จะยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญถึง 14ครั้ง โดยตนเป็นคนตรวจคนสุดท้ายและเป็นผู้ยื่นต่อศาลด้วยตัวเอง แต่รายชื่อ 40สว.ที่หลุดออกไป เป็นผลมาจากผู้ถูกร้องไปยื่นขอคัดคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนรายชื่อ 40คน เดิมจะมีสว.ลงชื่อเกือบ 100คน ทั้งๆ ที่ใช้เพียง 25คนเท่านั้น แต่ตนเห็นว่า รายชื่อ 40คนก็มากเพียงพอแล้ว บางคนแม้ไม่เข้าชื่อ ก็มีส่วนร่วมในการตรวจสอบร่างที่ยื่นต่อศาลฯ หรือบางคนก็ถูกขอร้องไม่ให้เซ็นชื่อ ฉะนั้น ทุกคนลงชื่อด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาขอร้อง
ใส่ร้ายลายเซ็นต์ปลอมระวังเจอฟ้อง
ส่วนการกล่าวหาว่า มีการปลอมรายชื่อ สว.ที่ร่วมลงชื่อนั้น นายสมชาย กล่าวว่า กำลังจะพิจารณาว่าจะมีการฟ้องดำเนินคดีหรือไม่ เพราะคนที่เข้าร่วมลงชื่อเสียหาย และยืนยันว่าไม่มีการปลอมรายชื่อแน่นอน เพราะหากมีการปลอมถือว่าผิดกฎหมายเหมือนกรณี สส.เสียบบัตรแทนกัน ที่ศาลมีการตัดสินไปแล้วว่าผิดและมีการตัดสิทธิ ส่วนที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ระบุว่ารู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ เกรงว่า ส.ว.จะถูกเช็กบิลย้อนหลังหรือไม่นั้น นายสมชาย ยืนยันว่า ไม่มีความกังวลที่จะถูกตามเช็กบิลย้อนหลัง นายทักษิณ กลับไปเลี้ยงหลานดีแล้ว ถ้าออกมาเคลื่อนไหวเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เป็นนายกฯเงา อาจจะมีความผิดข้อหาเกี่ยวกับการครอบงำ แทรกแซง อาจทำให้ นายเศรษฐาโดนสองเด้งได้
ถ้าพ้นนายกฯชงฟันคดีอาญาดาบ2
นายสมชายกล่าวว่า เรื่องนี้ นายเศรษฐา ต้องไปชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเชิญ นายเศรษฐา สลค.คณะกรรมการกฤษฎีกา สภาทนายความ ไปไต่สวน หรือถ้าจะเชิญผู้ร้องไปไต่สวนตนก็พร้อมไปชี้แจง ซึ่งคาดว่าใช้เวลา 2เดือน ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายเศรษฐา มีความผิด นอกจากจะต้องสิ้นสภาพการเป็นนายกฯแล้ว จะต้องดำเนินคดีทางอาญาด้วย อาจจะไปยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือศาลฎีกาดำเนินคดีต่อไป เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ที่นายกฯจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับกรรมการกฤษฎีกาและสลค.ที่เป็นหน่วยงานในสังกัดของนายกฯ นายสมชายกล่าวว่า เชื่อว่าเลขาธิการกฤษฎีกา และเลขาฯ ครม.แม้จะอยู่ภายใต้ ครม.แต่จะทำหน้าที่โดยสุจริต บิดเบือนข้อมูลไม่ได้ และการไปยุ่งเหยิงกับพยานไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้
‘ดิเรกฤทธิ์’ขจัดนักการเมืองย่ำยีนิติรัฐ
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา (สว.) 1 ใน 40 สว. ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ปัญหาสำคัญที่สุด คือ ปัญหานักการเมืองในระบบรัฐสภา ย่ำยีหลักนิติรัฐนิติธรรม และทุจริตคอรัปชั่น มุ่งแทรกแซงองค์กรถ่วงดุลตรวจสอบทุกองค์กรให้เป็นพวกของตนเป็นปัญหาของประชาชนทั้งประเทศที่เข้าใจปัญหานี้ ไม่อาจทนอยู่เฉยยอมรับได้ ใครมีหน้าที่และอำนาจอย่างไร ทั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน จึงต้องช่วยกันทำหน้าที่เพื่อแก้ปัญหานี้ร่วมกันครับ
ดักทางอสส.ปล่อย’แม้ว’รอด112
นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ส่งหนังสือถึงนายอำนาจ เจตน์เจริญรักษ์ อัยการสูงสุด เรื่องขอให้ยืนยันคำสั่งฟ้องอัยการสูงสุด (ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด) นายทักษิณ ชินวัตร มีความผิดตามมาตรา 112 ยื่นผ่านนาย ประยุทธ เพชรคุณ โฆษกอัยการสูงสุด หนังสือร้องเรียนระบุว่า ด้วยข้าพเจ้านายวัชระ อดีตสส.ประชาธิปัตย์ ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีอากรได้ติดตามคดีนายทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศที่ประเทศเกาหลีใต้อันเป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112มาตั้งแต่ต้น ต่อมา นายทักษิณฯ ขอความเป็นธรรมและอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติม ได้แก่ นายทหารระดับยศพลเอกและนักการเมืองหนุ่มนักเรียนนอก เลขาธิการพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อไทย เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นพยานจัดตั้งและมีผลประโยชน์ทางการเมืองทับซ้อนในปัจจุบันนั้น
จี้อัยการอย่าพลิกออกคำสั่งไม่ฟ้อง
อัยการสูงสุดต้องยืนหลักการเดิมของอัยการสูงสุด (ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุดในขณะนั้น) ที่มีคำสั่งฟ้องดำเนินคดีนายทักษิณ ชินวัตร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112 เพื่อดำรงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรม ทั้งนี้ขอให้พิจารณาพยานจัดตั้งของนายทักษิณฯ ทุกปากและชั่งน้ำหนักพยานอย่างมีดุลยธรรม ก่อนจะสั่งคดีเพื่อความยุติธรรมต่อไปและอย่าใช้กระบวนการยุติธรรม 2มาตรฐานดังเช่นความเห็นของนายถาวร เสนเนียม อดีตอัยการ ซึ่งนายทักษิณฯ สร้างความเสียหายกับประเทศชาติมากกว่า 1.3แสนล้านบาท อนึ่งก่อนหน้านี้อัยการสูงสุดได้สั่งไม่ฟ้องคนในตระกูลนี้หลายคดีเป็นที่ครหาของสังคมในการใช้ดุลพินิจของอัยการสูงสุดเรื่อยมาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือมีใบสั่งทางการเมืองหรือไม่ เช่น 1.อัยการสั่งไม่ฟ้อง “แม้วและพวก” ซุกหุ้นเอสซี แอสเสท 2.อัยการไม่ฎีกาคดี “พจมาน-บรรณพจน์” เลี่ยงภาษีชินฯ 3.พานทองแท้รอดอัยการชี้ขาดไม่อุทธรณ์ “คดีฟอกเงินกรุงไทย” 4.โฆษกฯอัยการ แจงยิบสั่งไม่ฟ้อง ‘อดีตเลขาฯ คุณหญิงอ้อ-สามี’ฟอกเงิน
ทั้งนี้ ประชาชนสงสัยในการสั่งคดีเป็นอย่างยิ่งและอดีตอัยการสูงสุดคนหนึ่งคือ นายชัยเกษม นิติสิริ ไปเป็นแคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย ประชาชนยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก ดังนั้นคดีนี้จึงต้องรอบคอบถ่องแท้ อย่าเลื่อนการสั่งคดีออกไปอีกและให้โลกร่ำลือในวีรกรรมการสั่งคดีเพื่อประเทศชาติในครั้งนี้ อนึ่ง นายทักษิณ ชินวัตร ปัจจุบันเป็นนักโทษหมายเลข6650102668 คดีทุจริตถูกจำคุก 1ปี อยู่ในระหว่างการพักโทษให้ไปถูกคุมขังที่บ้านจันทร์ส่องหล้า กำหนดพ้นโทษวันที่ 31สิงหาคม2567 สถานะในปัจจุบันจึงยังเป็นนักโทษตามกฎหมายกรมราชทัณฑ์ จึงกราบเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย ผลเป็นประการใดโปรดแถลงให้ข้าพเจ้าและพี่น้องประชาชนทราบโดยเร็วที่สุดด้วย จักขอบคุณ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี