ที่ประชุมรัฐสภา วันที่ 22 สิงหาคม 2566 โหวตเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งก็คือ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย
สำหรับประวัติของ เศรษฐา ทวีสิน เกิดเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2506 เป็นบุตรชายของ ร.อ.อำนวย ทวีสิน และ ชดช้อย จูตระกูล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเงินจาก มหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแคลร์มอนต์ (Claremont Graduate University) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แล้วเข้าทำงานกับบริษัท P&G (ประเทศไทย) เป็นเวลา 4 ปี ก่อนเข้าสู่แวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการทำงานในบริษัทแสนสำราญ ของ อภิชาติ จูตระกูล ลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น “แสนสิริ” และเติบโตกลายเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำ รวมถึงชื่อของเศรษฐา หรือที่หลายคนเรียกตามชื่อเล่นว่า “เสี่ยนิด” ก็เป็นที่รู้จักในฐานะเจ้าพ่อธุรกิจอสังหาฯ มาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับแวดวงการเมือง แม้เศรษฐาจะเปิดเผยว่า เพิ่งสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในเดือน พ.ย. 2565 และได้รับความไว้วางใจให้เป็น 1 ใน 3 ตัวแทนของพรรคสำหรับชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยต้องเตรียมตัวด้วยการลาออกจากการเป็นผู้บริหาร บ.แสนสิริ และโอนหุ้นที่มีอยู่ให้กับบุตรสาว พร้อมกับร่วมกับแกนนำพรรคคนอื่นๆ เดินสายลงพื้นที่หาเสียงเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 แต่ก่อนหน้านั้น สื่อมวลชนหลายสำนักรายงานว่า ในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เพื่อขับไล่รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย ช่วงปลายปี 2556-ต้นปี 2557 เศรษฐาได้แสดงความคิดเห็นว่าตนไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของ กปปส.
นอกจากนั้น ในการรัฐประหารโดยกองทัพในนามคณะรักษาความแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 เศรษฐายังมีรายชื่อปรากฎในคำสั่ง คสช. ที่ 14/2557 วันที่ 25 พ.ค. 2557 อันเป็นช่วงเวลาที่ คสช. ออกประกาศหลายฉบับ เรียกบุคคลในแวดวงต่างๆ ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ ฯลฯ ไปรายงานตัว ขณะที่ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ยังรุนแรง ในปี 2563 เศรษฐาได้เสนอแนะให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้งบประมาณเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท อย่างมีประสิทธิภาพและมองเป็นโอกาสในการปรับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
ต่อมาในปี 2564 เศรษฐาได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เร่งจัดหาวัคซีนโควิด-19 ฉีดให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงโดยเร็วที่สุด รวมถึงเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพร่วมจัดหาด้วย เพราะมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รวมถึงยังชี้ว่าต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมือง
“เศรษฐา” หรือ “เสี่ยนิด” ยังมีความสนิทสนมกับ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โดยก่อนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมือง อนุทินเคยเป็นผู้บริหารของ “ซิโน-ไทย” หนึ่งในบริษัทรับเหมาก่อสร้างยักษ์ใหญ่ ถึงขนาดที่เมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. 2566 มีคนตาดีพบเห็นทั้งคู่นั่งพูดคุยกันในสนามฟุตบอลที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งกำลังมีเกมการแข่งขันระหว่าง เลสเตอร์ ซิตี้ กับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด แล้วไปลือกันว่ามี “ดีลลับ” อะไรหรือไม่ โดยเศรษฐาชี้แจงว่า มาให้กำลังใจทีมเลสเตอร์ฯ เพราะรู้จักกับ วิชัย ศรีวัฒนประภา อดีตประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ และครอบครัวศรีวัฒนประภา มาหลายปีแล้ว รวมถึง เสี่ยหนู-อนุทิน ที่พูดคุยด้วยก็เพราะรู้จักเป็นการส่วนตัวเช่นกัน แต่ไม่มีเรื่องการเมือง และหากจะดีลกันจริงๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องมาไกลถึงอังกฤษ
เกือบ 1 ปีของการปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี หนึ่งในสิ่งที่ เศรษฐา ทวีสิน ถูกตั้งข้อสังเกต คือการ ‘ออนทัวร์’ เดินทางทั้งในและต่างประเทศ เรียกว่า ‘คิวแน่น’ แทบทุกเดือน จนถูกตั้งคำถามว่า ‘จำเป็นหรือไม่? – คุ้มค่าหรือเปล่า?’ โดยเฉพาะการ ‘บินลัดฟ้า’ ไปต่างแดนประเทศนั้นประเทศนี้ ที่หมายถึงการใช้งบประมาณแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม เศรษฐา มักยืนยันเสมอว่า ทุกครั้งที่ไปคือการ ‘สร้างโอกาส’ ผ่านการเจรจากับบุคคลชั้นนำทั้งภาคการเมืองและภาคธุรกิจของแต่ละประเทศ หวังดึงเม็ดเงินลงทุนให้หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศไทย
ในเดือน ม.ค. 2567 นิตยสาร TIME สื่อเจ้าดังของสหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานพิเศษ “Thailand’s New Prime Minister Is Getting Down to Business. But Can He Heal His Nation?” ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ที่ผู้สื่อข่าวของ TIME ได้พูดคุยกับ เศรษฐา ทวีสิน พร้อมกับใช้รูปของเขาขึ้นปกและคำโปรย “The Salesman” ส่วนการกล่าวนำในบทความ ได้บรรยายว่า อดีตเจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในเดือน ก.ย. 2566 ได้เดินทางไปต่างประเทศมากกว่า 10 ครั้งเพื่อพบปะนักลงทุน รวมถึงจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และการประชุมเศรษฐกิจโลกที่ดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
“ผมอยากบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยกลับมาเปิดธุรกิจอีกครั้ง” เศรษฐา กล่าว
อย่างไรก็ตาม เศรษฐา ทวีสิน ยอมรับว่า การเป็นผู้นำในภาครัฐ “ยาก” กว่าเป็นผู้นำในภาคเอกชน ดังในช่วงที่ให้สัมภาษณ์กับ TIME เศรษฐายังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งจะพบ “วิวาทะ” ระหว่างกระทรวงการคลัง กับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องนโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” หรือการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท เนื่องจาก ธปท. มองว่า นโยบายดังกล่าวจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
“การเป็นซีอีโอของบริษัท คุณจะรู้ว่าคุณมีอำนาจจำกัด แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือการไม่มีอำนาจอย่างที่นายกรัฐมนตรีมี” เศรษฐา เปรยกับผู้สื่อข่าวของ TIME
นอกจากเรื่องการเดินทางบ่อยครั้งแล้ว การเลือกอยู่สังกัด “พรรคเพื่อไทย” ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้กับเสียงค่อนขอดว่า เศรษฐา ทวีสิน เป็นแค่ “ร่างทรง – นอมินี” ของ “ตระกูลชินวัตร” บ้านใหญ่ผู้มีอิทธิพลอย่างสูงกับพรรค โดยเฉพาะเมื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ก่อตั้ง “พรรคไทยรักไทย” พรรคการเมืองรุ่นแรกก่อนจะถูกยุบและกลายมาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ได้รับการพักโทษและได้รับอนุญาตให้เดินทางได้อิสระภายในประเทศ ความสนใจของสื่อและคอการเมือง ดูจะหันไปที่อดีตนายกฯ ทักษิณ เสียยิ่งกว่า เศรษฐา ที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 พรรคเพื่อไทยส่งชื่อบุคคลชิงเก้าอี้นายกฯ นอกจาก เศรษฐา ทวีสิน แล้วยังมี “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ลูกสาวคนเล็กของอดีตนายกฯ ทักษิณ และเป็นคนที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยเปรยว่า “มี DNA ผู้นำ เหมือนกับพ่อที่สุด” ทำให้ แพทองธาร ชินวัตร ถูกจับตา ว่านี่คือ “ทายาททางการเมืองตัวจริง” ที่ทักษิณเตรียมส่งต่อ “มรดกกแห่งอำนาจ” ให้ในอนาคต ถึงกระนั้น ในสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันที่ยังเต็มไปด้วยความเสี่ยง ประกอบกับ แพทองธาร อายุยังน้อยและยังไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง การส่ง เศรษฐา ทวีสิน ที่มีประสบการณ์ชีวิตในฐานะผู้บริหารธุรกิจขนาดใหญ่ ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“ยืนยันครับผม นายเศรษฐา ทวีสิน คือนายกรัฐมนตรีและมีอำนาจในการตัดสินใจอย่างเต็มที่ภายใต้รัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย”
ถ้อยคำข้างต้น เศรษฐา กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่ โรงแรมอนันตรา เชียงใหม่รีสอร์ท จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2567 ในระหว่างเตรียมการจัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่ จ.พะเยา ซึ่งเป็นช่วงที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ แล้วได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อและประชาชน ทำให้เกิดกระแส “เมืองไทยมีนายกฯ 2 คน แล้วใครคือนายกฯ ตัวจริง?” แต่นายกฯ เศรษฐา ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไมได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว
กระทั่งล่วงเข้าสู่เดือน พ.ค. 2567 เศรษฐา ทวีสิน ต้องเผชิญ “มรสุมทางการเมือง” ครั้งสำคัญ เมื่อสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ชุดตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 จำนวน 40 คน ปฏิบัติการส่งท้ายก่อนพ้นวาระ ด้วยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า เศรษฐา ในฐานะนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในโผ ครม. ที่เปิดเผยเมื่อปลายเดือน เม.ย. 2567 ว่าสามารถทำได้หรือไม่? เพราะ พิชิต นั้นเคยมีประวัติถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือน เนื่องจากพัวพันกับคดีอื้อฉาวอย่าง “ถุงขนม 2 ล้าน” เมื่อปี 2551 อีกทั้งถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทนายความ จึงอาจเข้าข่ายบุคคลต้องห้ามหรือขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถดำรงตำแหน่รัฐมนตรีได้
ซึ่งแม้ในวันที่ 21 พ.ค. 2567 พิชิต จะประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอ้างว่าไม่อยากให้นายกฯ เศรษฐา เดือดร้อน แต่ในวันที่ 23 พ.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญก็รับคำร้องในส่วนของ เศรษฐา ทวีสิน ไว้พิจารณา ในขณะที่ไม่รับคำร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ พิชิต ชื่นบาน เนื่องจากเจ้าตัวได้ลาออกจากตำแหน่งไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติว่า เศรษฐา ไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี
หลังการเปิดให้คู่ความได้ชี้แจงอยู่ร่วม 2 เดือน ในวันที่ 24 ก.ค. 2567 ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยคดี เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วันที่ 14 ส.ค. 2567 ซึ่งหากศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า เศรษฐา กระทำผิดจริงในการแต่งตั้งบุคคลที่ขาดคุณสมบัติ ก็จะต้องพ้นสภาพการเป็นนายกรัฐมนตรี และมีผลต่อเนื่องคือทำให้ ครม. ชุดปัจจุบัน ต้องพ้นสภาพไปทั้งคณะด้วย
และในที่สุด ในวันที่ 14 ส.ค. 2567 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย โดยมีมติ 5 ต่อ 4 ให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ เหตุไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ กรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งไปด้วย
สิ้นสุดการเดินทางอย่างเป็นทางการบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ที่ชื่อเศรษฐา ทวีสิน นับตั้งแต่ได้รับโปรดเกล้าฯเมื่อวันที่ 23 ส.ค.2566
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี