เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2567 ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และตนเป็นหนึ่งใน 4 สส. เสียงส่วนน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ว่า เอาจริงๆ สถานการณ์ก็มีแนวโน้มเดินมาถึงจุดนี้ โดยมองเห็นสัญญาณ เช่น การยกมือสนับสนุน นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี หรือตอนโหวตงบประมาณเพิ่มเติมของปีงบฯ 2567 ก็มี สส. ในพรรคบางคนไม่เข้าร่วม แต่สุดท้ายก็อยู่ที่มติพรรค
แต่ถึงจะเป็น สส. เสียงส่วนน้อย ก็พยายามทำหน้าที่รักษาเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของพรรค รักษาหน้าตาของคนที่เคยสนับสนุนพรรค แต่รอบนี้จะเห็นพรรคประชาธิปัตย์โดนกระแสถาโถมเข้ามา หากใช้โอกาสตรงนี้สื่อสารกับประชาชนให้ชัดเจนว่าจุดยืนของเราเป็นอย่างไร เราอาจพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ แต่ก็ไม่ได้เลือกแนวทางนั้น สมาชิกส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นว่าแนวคิดนั้นเหมาะสม แต่เห็นว่าการร่วมรัฐบาลเหมาะสมมากกว่า
อย่างไรก็ตาม การที่พรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งวิญญูชนคนทั่วไปทราบว่ารัฐบาลชุดนี้มีใครอยู่เบื้องหลัง ตนคิดว่าความไม่เห็นด้วยและกังวลในสังคม มีมากกว่าสมัยที่ไปร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะให้พูดกันตรงๆ คนที่ไม่ชอบระบอบทักษิณก็จะไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม แต่การเลือก พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะเห็นว่าเหมาะสมในการต่อสู้กับระบอบหรือวงจรเดิมๆ
“แต่วันนี้มันมีความต่างกันตรงที่ว่า ทั้งคนที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ คนที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์อยู่ คนที่เคยไปเลือก พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงพี่น้องประชาชนทั่วไป คนที่ไม่ได้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เราก็ต้องสะท้อนดูตัวเราเองว่า ณ วันนี้สังคมเขามองพวกเราอย่างไร อยากให้ลองคิดดู” นายสรรเพชญ กล่าว
นายสรรเพชญ กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้ นอกจากการทำงานและการมีนโยบายที่โดนใจประชาชนแล้ว ส่วนหนึ่งปฏิเสธไมได้ว่าจุดยืนทางการเมืองก็เป็นสิ่งที่ประชาชนสนใจ และการตัดสินใจของประชาชนก็ดูว่าพรรคการเมืองยืนอยู่บนหลักคิดอย่างไร เรื่องนี้เป็นโจทย์ที่ต้องตีให้แตกจึงจะเดินไปข้างหน้าได้ จะบอกว่าซ้าย ขวา กลาง อะไรก็ได้อย่างนี้ไม่ได้ และแม้จะเป็นเสียงส่วนน้อยก็ไม่อยากให้เสียงส่วนใหญ่ละเลย ตนก็ไม่อายที่จะแสดงความคิดเห็นแม้เพิ่งเป็น สส. สมัยแรก ดีกว่ามานั่งอยู่แล้วสุดท้ายโทษกันไป-มา ว่าวันนั้นมีโอกาสแต่เหตุใดไม่พูด
แต่สำคัญคือพูดแล้วก็จบไปแล้วด้วยมติของพรรค ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์อยู่มาได้นานกว่า 70 ปี เพราะอยู่กันด้วยการเคารพมติพรรค ทั้งนี้ แม้จะอายุน้อยและมีความคิดต่างไปจาก สส. ส่วนใหญ่ในพรรค ตนก็ไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเดินอยู่ในสภาก็เจอ สส. ทั้งพรรคเดียวกันและพรรคอื่นๆ พูดคุยกันได้ตามปกติ เพราะความเห็นต่างสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ใช่เรื่องแปลก คนเห็นต่างไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน ตนยังมองว่าหากเราเคารพความรู้สึกและความเห็นที่แตกต่างกัน สังคมโดยรวมก็ยังไปได้ โดยเฉพาะสังคมประชาธิปไตย และการเห็นตรงกันทุกเรื่องอาจมีปัญหาก็ได้
ทั้งนี้ สส. ในพรรคอีก 3 ท่าน ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่พรรคประชาธิปัตย์จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย คือนายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ซึ่งล้วนเป็นอดีตหัวหน้าพรรคและอยู่กับพรรคมานาน เรื่องอุดมการณ์และหลักคิดในการทำงานนั้นปราศจากข้อโต้แย้ง จะเห็นด้วยหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การที่ตนได้เข้าไปพูดคุยและซึมซับ ก็ยิ่งทำให้เห็นว่า DNA ของพรรคประชาธิปัตย์ควรเป็นแนวทางนี้
“ทุกท่านก็บอกว่า อะไรที่เห็นตรงกันว่าที่ต้องปรับเปลี่ยนมันก็ต้องปรับเปลี่ยน อะไรที่ดีมาและทำมาอย่างดีแล้วเราก็ต้องยึดเหนี่ยวแนวทางนั้นให้มันหนักแน่น อะไรที่ปรับเปลี่ยนให้ทันยุคทันเหตุการณ์ก็ต้องปรับไป แต่เราไม่จำเป็นต้องปรับอุดมการณ์จองเรา พรรคการเมืองมันเป็นที่รวมกันของคนที่มีความคิดหรือว่าชุดความคิดคล้ายๆ กัน มันถึงเกิดพรรคการเมืองขึ้น ฉะนั้นถ้าเรามีชุดความคิดที่เริ่มต้นอาจไม่ตรงกันแล้ว หรือว่าห่างกันเหลือเกิน มันก็อาจจะคุยกันลำบาก” นายสรรเพชญ ระบุ
นายสรรเพชญ ยังกล่าวอีกว่า มีความท้าทายหลายเรื่องที่อาจทำให้ไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ตนคิดว่าจะสามารถรักษาพรรคประชาธิปัตย์ไว้ได้ก็คืออุดมการณ์ อุดมคติที่อย่างน้อยเคยมีพรรคการเมืองที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างเข้มแข็งจนคนผิดถูกลงโทษจากการทุจริตต่างๆ ที่เห็นแล้วว่าสร้างคามเสียหายกับประเทศชาติร้ายแรงเพียงใด หรือตอนเป็นรัฐบาลก็เคยวางรากฐานให้กับประเทศ ทั้งเรื่องการศึกษา การแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจถึง 2 ครั้ง แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีโอกาสสร้างประเทศ ซึ่งตนคิดว่าก็ต้องรอโอกาสต่อไป
ส่วนคำถามว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไปต่อได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่มีอะไรการันตีได้ แต่สิ่งที่ตนคิดว่าทุกคนได้สะท้อนความห่วงใยเข้ามาก็เป็นส่วนหนึ่งในการอยู่รอดของพรรคการเมือง นั่นก็คือฐานเสียง อย่างตนก็กังวลเสียงสะท้อนจากคนในพื้นที่พอสมควร เพราะใน จ.สงขลา มีความรู้สึกไม่เห็นด้วยค่อนข้างรุนแรง นี่เป็นสิ่งที่ได้สัมผัสเองโดยตรงในช่วงกลับไปลงพื้นที่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีแม้กระทั่งเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ตนก็รู้ว่าเลือกตั้งครั้งก่อนไม่ได้เลือกตน แต่ก็เข้ามาขอถ่ายรูปแล้วบอกว่าให้กำลังใจ ขอให้รักษาอุดมการณ์ของพรรค
เพราะจะว่าไปแล้วพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่อยู่มานาน หากเปรียบเทียบกับต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ใหญ่พอสมควร และต่างจากพรรคอื่นๆ เพราะเป็นต้นไม้ที่มีรากแก้ว พรรคประชาธิปัตย์เติบโตผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านพายุฝนมาอย่างยาวนาน ในบางช่วงเวลาอาจมีบางกิ่งที่แห้งเหี่ยวไป ใบไม้อาจดูไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน แต่สุดท้ายหากต้นไม้ยังยืนอยู่ได้มันก็ไม่ตาย
“ผมคิดว่าไปได้หรือไม่ได้ ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบกับเรา แต่ที่ผมแสดงความห่วงใยคือการที่ทำให้พรรคโตได้ ผมไม่คิดว่าจะมีพรรคการเมืองที่ไหนที่จะมียุทธศาสตร์การนำพาพรรคให้เติบโตได้โดยเริ่มต้นจากการทำลายฐานเสียงตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนท่านผู้บริหารและเพื่อนสมาชิกอย่างตรงไปตรงมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว” นายสรรเพชญ กล่าว
ชมคลิปเต็มที่นี่ : https://www.youtube.com/watch?v=sb7pBQVwi_c
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี