ลุยเดินหน้าหาเสียง5จังหวัดอีสาน
‘ทักษิณ’เมิน‘กกต.’
หลังถูกเตือนเสี่ยงทำผิดก.ม.
‘อิ๊งค์’ยันยึดกฎหมายทุกอย่าง
ปธ.กกต.ไม่ฟันธงผิดหรือถูก
คปท.นัดรวมพลใหญ่11ม.ค.
“พท.” ผวาตายหมู่ เล็งเปลี่ยนรูปแบบหาเสียงนายกอบจ. หลัง “ทักษิณ” ปราศรัยเสี่ยงผิดก.ม. ด้าน “นายกฯอิ๊งค์” รับทราบแล้ว“อนุสรณ์” เปิดโปรแกรม “แม้ว” คิวแน่นทั้งเดือนมกราคม ลุยอีสาน 5 จังหวัด ช่วยหาเสียงนายก อบจ.ไม่กังวล กกต.เตือนปราศรัยนโยบายรัฐบาล เสี่ยงทำผิดกฎหมาย ยันทำตามก.ม.เคร่งครัด ปธ.กกต.ไม่ฟันธง”ทักษิณ”ชูนโยบายรัฐช่วยหาเสียงท้องถิ่นผิดกฏหมายหรือไม่ อ้างดูเป็นกรณี ยันไม่ต้องมีหนังสือเตือน เชื่อผู้สมัคร-ผู้ช่วยหาเสียงรู้ข้อกฏหมายดี คปท.นัดชุมนุม11ม.ค.อนุสรณ์สถาน14ต.ค.ก่อนแยกดาวกระจาย อิ๊งค์’ยันหาเสียงนายกอบจ.ยึดตามกม.ทุกอย่าง
เมื่อเวลา 16.00น.วันที่ 10ม.ค.2568 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาระบุว่าการปราศรัยหาเสียงนายกอบจ.ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย พรรคเพื่อไทยจะมีการปรับอะไรหรือไม่ ว่า นายทักษิณ ไม่ได้ดำรงตำแหน่งอะไร แต่ไปในฐานะผู้ช่วยหาเสียง และนโยบายของพรรคเพื่อไทยกับรัฐบาล ก็มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ในส่วนของตนนั้น หากจะลงพื้นที่ช่วยหาเสียงอย่างไร ก็ต้องทำตามกฎหมาย เอาให้ถูกกฎหมายทุกอย่าง
พท.เล็งเปลี่ยนรูปแบบหาเสียงอบจ.
นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ระบุว่า การปราศรัยหาเสียงของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)ของพรรคพท.ที่มีการปราศรัยหาเสียงโดยหยิบยกนโยบายของรัฐบาลไปพูดในเวที สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย ว่า ต้องดูว่าข้อกฎหมายเป็นอย่างไร และต้องกำชับไปยังผู้ช่วยหาเสียงทุกคน ในเรื่องการพูดนโยบายต่างๆ ซึ่งจะต้องมีการพูดคุยกัน แต่เรื่องนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พท. รับทราบแล้ว และคุยกันอยู่
เมื่อถามว่า จะกระทบอะไรกับพรรค พท.หรือไม่ เช่น อาจจะมีคนไปร้องแล้วทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ นายสรวงศ์ กล่าวว่า เป็นสิทธิของแต่ละคน หากเห็นว่าเป็นเช่นนั้น เขามีสิทธิร้องก็ร้อง เดี๋ยว กกต. คงตัดสินออกมาเอง แต่เบื้องต้นถ้าสามารถเตือนกันได้ เดี๋ยวจะมีการพูดคุยกัน เมื่อถามว่า พรรค พท. จะต้องเปลี่ยนรูปแบบของการหาเสียงหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า หาก กกต. มองว่าสุ่มเสี่ยง ก็ต้องปรับเปลี่ยน เมื่อถามว่า ในส่วนของนายทักษิณ จะเป็นใครไปพูดคุยด้วย นายสรวงศ์ กล่าวว่า อาจจะให้ น.ส.แพทองธาร ไปพูดคุยด้วย แต่ก็ไม่มีอะไร น.ส.แพทองธาร รับทราบและมีการพูดคุยกันเบื้องต้นแล้ว
เปิดโปรแกรมทัวร์อีสาน5จังหวัด
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมลงพื้นที่ลุยช่วยหาเสียงนายก อบจ. ทั่วไทย คิวแน่นทั้งเดือนมกราคม ว่า การลงพื้นที่ ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนายทักษิณ ถือเป็นโอกาสสำคัญในการพบปะเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนและสร้างความมั่นใจให้กับผู้สมัครนายก อบจ. ของพรรคเพื่อไทย โดยในสนามเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ผ่านมา ทั้งที่อุดรธานีและอุบลราชธานี ผู้สมัครนายก อบจ. ของพรรคเพื่อไทย สามารถคว้าชัยชนะได้ 100% ทุกสนามทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568ที่ผ่านมา นายทักษิณก็ยังได้เดินทางไปทำหน้าที่ผู้ช่วยหาเสียง ช่วยปราศรัยให้นางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สำหรับกำหนดการในเดือนมกราคม นายทักษิณ มีกำหนดลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในวันที่ 18-20 มกราคม 2568 ที่จังหวัดนครพนม บึงกาฬ หนองคายและจ.มหาสารคาม จากนั้นวันที่ 24-25 มกราคม 2568 จะเดินทางไปยังจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสนับสนุนผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย พร้อมชูนโยบายที่เน้นการพัฒนาท้องถิ่นและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
พท.อ้างทำตามกฎหมายเคร่งครัด
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการปราศรัยของนายทักษิณ ที่ได้รับการจับตามองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และได้เตือนเกี่ยวกับการนำนโยบายของรัฐบาลมาใช้ในการปราศรัยว่าอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งนั้น ไม่มีอะไรน่ากังวล ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ กกต. เพียงแนะนำให้ระมัดระวังข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยน้อมรับและพร้อมปฎิบัติตามระเบียบข้อบังคับและข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกประการ กกต. ก็ได้ยืนยันเองว่าถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานความผิดปกติแต่อย่างใด
“ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยยังคงทำงานภายใต้กรอบกฎหมาย และพร้อมเดินหน้าสนับสนุนผู้สมัครนายก อบจ.อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนมีตัวแทนที่สามารถผลักดันการพัฒนาท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหวังว่าการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 จะได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างล้นหลามในทุกพื้นที่” นายอนุสรณ์ กล่าว
กกต.รับร้องเรียนอบจ.แล้ว30เรื่อง
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ว่า มีการจัดอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการการเลือกตั้ง เช่น พนักงานสืบสวนไต่สวนของ กกต.รวมถึงการตั้งชุดเคลื่อนที่เร็วในการลงพื้นที่ในการป้องกันปราบปรามการซื้อเสียง และขั้นตอนสุดท้ายการอบรมกรรมการกประจำหน่วยเลือกตั้ง (กปน.) ในช่วงก่อนวันเลือกตั้งเพื่อเกิดความแม่นยำในการปฏิบัติหน้าที่ โดยปี2562 มีคำร้องเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ กปน.100เรื่อง ศูนย์การเลือกตั้งปี 2566 พบว่า คำร้องเรียนเหลือเพียง 17เรื่อง สะท้อนว่า การทำงานของ กปน.ดีขึ้น
นายอิทธิพร ยังกล่าวถึงคำร้องเกี่ยวกับการหาเสียงเลือกตั้ง อบจ.ถึงขณะนี้มี 30เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นประเด็นเกี่ยวกับการซื้อเสียง พร้อมเตือนประชาชนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 1ก.พ.ให้แจ้งเหตุอันไม่อาจไปใช้สิทธิได้ เพื่อไม่ให้ถูกจำกัดสิทธิบางประการตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอเตือนผู้สมัครรับเลือกตั้ง อบจ.ในการหาเสียง ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนได้รับการอบรมเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำ หรือไม่ควรทำในการหาเสียงเลือกตั้งอย่างชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย เช่น 1.การให้ จัดให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้กับผู้ใดผู้หนึ่ง หรือ 2.การให้ ชุมชน หรือการให้สิ่งใดแก่องค์กรสถาบัน 3.การจัดมหรสพ 4.การจัดเลี้ยง 5.การหลอกลวงใส่ร้าย ซึ่งเป็นกติกาตามที่กฎหมายกำหนดไว้
เตือนอย่าแจก’แต๊ะเอีย’ช่วง’ตรุษจีน’
เมื่อถามถึงการแจกแต๊ะเอียในเทศกาลตรุษจีน นายอิทธิพรกล่าวว่า แต๊ะเอียก็คือแต๊ะเอีย ประเพณีบางอย่างเป็นประเพณีที่สำคัญ แต่ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง หากผู้สมัครหลีกเลี่ยงได้ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงในการแจกแต๊ะเอีย เพราะเสี่ยงต่อการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และถูกมองว่าเป็นการให้เงินหรือไม่ ขอผู้สมัครอย่าปฏิบัติเช่นนั้น เพราะเป็นช่วงที่มีการเลือกตั้ง เมื่อถามว่า หากกรณีเป็นญาติกันจะสามารถช่วยเหลืองานประเพณีได้มากน้อยแค่ไหน ประธาน กกต.กล่าวว่า ถ้าเป็นญาติก็อาจจะถูกมองว่าเป็นการซื้อเสียงยาก เมื่อเป็นประเพณีปฏิบัติก็มีข้อยกเว้นได้ ส่วนที่อาจจะเป็นสีเทา หรือสิ่งที่ควรเลี่ยงได้ก็ควรที่จะเลี่ยง หากข้อเท็จจริงมาถึง กกต.เป็นสำนวนคดีคำร้อง กกต.ก็ต้องดูจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏและชี้ว่าเจตนาตั้งใจ หรือเป็นประเพณี และแนะนำว่าหากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยง และกล่าวย้ำว่าอย่าบอกเบอร์ผู้สมัคร หรือหาเสียงเลือกตั้ง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยแท้
‘อิทธิพร’ชี้ผิดหรือไม่ดูแต่ละบริบท
นายอิทธพร บุญประคอง ประธาน กกต.กล่าวถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนนตรี ปราศรัยโดยนำเสนอนโยบายรัฐบาลในเวทีเลือกตั้งท้องถิ่นว่า เรื่องหาเสียงอยากให้แยกเกี่ยวกับการพูดถึงนโยบายระดับชาติกับการหาเสียงระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่บางครั้งเชื่อมโยงกันได้ แต่จะเข้าข่ายเป็นการหาเสียงที่ผิดกฎหมายหรือไม่ มีอยู่ 2ข้อหลัก คือ 1.หาเสียงว่าจะให้หรือเสนอให้ 2.หาเสียงหลอกลวง ซึ่งถ้าหาเสียงว่า”จะให้”มันก็เข้าข่ายผิดกฎหมายแน่นอนตามมาตรา65(1) แต่ถ้าเป็นการหาเสียง”หลอกลวง” หากไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อบจ.นั้นๆ ก็เข้าข่ายหลอกลวงได้ ฉะนั้นการกล่าวถึงเวลาเราพูดถึงบริบททั่วๆไปบางครั้งกล่าวไปทางนั้นทางนี้ มันจะใช่ถึงขนาดหาเสียงหลอกลวง สัญญาว่าจะให้หรือไม่ ต้องดูบริบทแต่ละอันเป็นรายกรณีไป รวมถึงดูรายละเอียดด้วย
ต้องพูดถึงนโยบายหลังชนะเลือตั้ง
เมื่อถามว่าผู้สมัครและผู้ช่วยหาเสียงจึงควรหาเสียงเฉพาะสิ่งที่ อบจ.ทำได้เท่านั้นหรือไม่ นายอิทธิพร กล่าวว่า ผู้สมัครต้องเสนอนโยบายที่ตนเองจะเข้าไปปฏิบัติ หากได้รับเลือกว่าจะทำอะไรบ้าง เพราะอำนาจหน้าที่ของ อบจ.ก็มีระบุไว้ในกฎหมายชัดเจน การหาเสียงควรมุ่งเน้นในกรอบตรงนั้น แต่จะพูดเลยไปบ้างส่วนตัวมองว่าก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เมื่อถามว่า ขอบเขตของผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งมีแค่ไหน นายอิทธิพร กล่าวว่า ผู้ช่วยหาเสียงก็ต้องพูดในนโบายที่ผู้สมัครประสงค์จะนำไปปฏิบัติเมื่อได้รับเลือกตั้ง ซึ่งแน่นอนต้องหาเสียงในนโยบายที่ผู้สมัครเขานำเสนอด้วย เพราะไม่เช่นนั้นถ้าไปหาเสียงแล้วไม่พูดถึงนโยบายที่จะไปทำในจังหวัดนั้นๆ มันก็ไม่ใช่การหาเสียง และจะกระทบต่อการที่จะไม่ได้คะแนนด้วย เช่นไปพูดถึงเรื่องอื่น โดยไม่พูดว่าจะไปทำอะไร ในบริบทที่เป็นงานของตัวเอง คะแนนก็อาจจะไม่ค่อยได้
ถ้ามีข้อสงสัยสอบถามมายังกกต.ได้
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า นายทักษิณ ไปปราศรัยพูดภาพใหญ่นโยบายของรัฐบาล และจากนั้นรัฐบาลก็รับลูก สามารถทำได้หรือไม่ในเวทีของท้องถิ่น นายอิทธิพร กล่าวว่า การพูดถึงนโยบายโดยบุคคลใดก็ตามที่มาช่วยหาเสียง กับการพูดถึงนโยบายในการหาเสียงตั้งท้องถิ่น มันเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันได้ แต่จะถึงขั้นผิดหรือไม่ จะให้ตอบตอนนี้คงไม่ได้ เพราะจะสับสนและไขว้เขว่ ฉะนั้นผู้สมัคร ผู้ช่วยหาเสียงก็ต้องมีบทบาทหน้าที่ของตัวเองในการที่จะทำอะไรก็ได้ให้มั่นใจว่า ทำไปแล้วไม่ฝ่าฝืนกฎหมายและอย่าลืมว่ามีมาตรา 23 ของ พรป.ว่าด้วย กกต.ที่กำหนดว่า พรรคการเมืองหรือผู้สมัครที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้ง หรือพรรคการเมืองสามารถสอบถามมายัง กกต.ได้ โดยกกต.มีหน้าที่ต้องตอบภายใน 30 วัน ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่ง แต่ตนก็เชื่อว่าผู้สมัครและผู้ช่วยหาเสียงตระหนักดี ว่าทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหนเพราะมีตัวอย่าง ทั้งคำวินิจฉัยกกต.ว่า หาเสียงอย่างไรเข้าข่ายหลอกลวง เสนอว่าจะให้
ไม่ต้องทำหนังสือเตือน’ทักษิณ’
เมื่อถามอีกว่า กกต.ต้องทำหนังสือเตือนหรือไม่ ประธานกกต.กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น เพราะผู้สมัครรู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง เมื่อรับสมัครเสร็จแล้ กกต.ก็ประชุมเชิงสมานฉันท์ ซึ่งก็จะแจ้งให้ทราบอยู่แล้วว่าอะไรทำได้บ้าง ฉะนั้นผู้สมัครจะบอกว่า ตัวเองไม่ทราบคงไม่ได้และทั้งผู้สมัคร ผู้ช่วยหาเสียง ก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองพูด ผู้สมัครก็ต้องรู้ว่า จะปฏิบัติตามกฎหมายอย่างไร ผู้ช่วยหาเสียงก็ต้องรู้ว่าผู้สมัครของตัวเองมีนโยบายอย่างไร และหาเสียงช่วยสนับสนุนในประเด็นที่เป็นอำนาจหน้าที่ในกรอบที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตามถึงขณะนี้ยังไม่มีคำร้องเกี่ยวกับการหาเสียงของนายทักษิณ เข้ามา
กสม.ซัด’แม้ว’จ้อเหยียดเชื้อชาติ
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวและกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการปราศรัยของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในลักษณะเหยียดเชื้อชาติและสีผิวของคนแอฟริกันนั้น กสม.มีความห่วงกังวลต่อการกระทำดังกล่าว อันเป็นการลดทอนคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มชนอื่น ซึ่งขัดต่อหลักการสำคัญของอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนทุกฉบับ โดยเฉพาะอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ (CERD) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและรัฐบาลมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม
หวั่นเกิดความรุนแรงในอนาคต
ทั้งนี้ การปราศรัยดังกล่าวแม้จะเป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล แต่เมื่อคำนึงถึงสถานะทางสังคมของผู้พูดซึ่งเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองและมีอิทธิพลต่อสังคมนั้น การสื่อสารอันเป็นการเหยียดและด้อยค่ากลุ่มชาติพันธุ์อื่นจึงเป็นการกระทำที่ไม่สมควรยิ่ง เพราะพื้นฐานความคิดที่ว่าคนเชื้อชาติหนึ่งเชื้อชาติใดเหนือกว่าชนเชื้อชาติอื่น อาจนำไปสู่การเลือกปฏิบัติระหว่างมนุษย์และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสัมพันธ์และสันติภาพระหว่างชาติ ดังจะเห็นได้จากบทเรียนในอดีตของมนุษยชาติ ซึ่งการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเชื้อชาติ สีผิวและเผ่าพันธุ์ ได้ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง และนำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้ง อันเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้
ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
กสม.เห็นว่า ขณะที่รัฐบาลไทยในฐานะรัฐภาคีของอนุสัญญา CERD มีหน้าที่ต้องจัดให้มีนโยบายและการปฏิบัติที่นำไปสู่การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติทุกรูปแบบ รวมทั้งส่งเสริมความเข้าใจระหว่างคนทุกชนชาติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ไทยเพิ่งได้รับเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ คือ การเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (United Nations Human Rights Council - HRC) วาระปี 2568-2570 บุคคลสาธารณะและผู้มีบทบาทสำคัญทางการเมืองของไทย จึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและร่วมส่งเสริมให้สังคมตระหนักและเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลอื่น โดยไม่แบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อกันด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ สีผิว หรือสถานะทางสังคมอื่นใด รวมทั้งไม่สื่อสารในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังต่อกลุ่มคนอื่น ทั้งนี้ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและสร้างสรรค์บนพื้นฐานของการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกคน
‘นิพิฏฐ์’ฉายหนังตัวอย่างเขย่าชั้น14
นายนิพิฏฐ์อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า ป่วยทิพย์ หรือ ป่วยจริง ต้องจบ!!กลางๆ เดือนนี้ ต้องลงจากเทือกเขาบรรทัดขึ้นกทม. นำผู้ต้องหาไปศาล คดีที่คุณทักษิณ ชินวัตร แจ้งความผู้ต้องหาคนหนึ่ง ในข้อหาหมิ่นประมาท กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ที่ผู้ต้องหารายนี้กล่าวว่าคุณทักษิณป่วยทิพย์ มิได้ป่วยจริงอัยการมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาแล้ว ความจริงเรื่องนี้ ผมก็อยากให้อัยการฟ้องตั้งนานแล้ว การป่วยทิพย์หรือป่วยจริงนี่มันต้องอาศัยเวชระเบียนของรพ.ตำรวจมาพิสูจน์นะครับคดีนี้ ผมลงทุนถึงขนาดขอโฉนดที่ดินภรรยาที่พัทลุงไปประกันตัวให้ผู้ต้องหาเลยนะ อย่าหนีก็แล้วกัน หากโฉนดภรรยาผมถูกยึดผมถูกไล่ออกจากบ้านแน่“ผมฉายหนังตัวอย่างให้ดูล่วงหน้าเลยนะครับ ว่า ผมจะขอหมายเรียกอธิบดีกรมราชทัณฑ์,แพทย์-พยาบาล ที่รักษาคุณทักษิณมาเบิกความหมดทุกคน ถ้าไม่มาผมขอออกหมายจับหมดนะครับ ตรงไป-ตรงมาครับ คดีนี้ผมบอกข้อสอบล่วงหน้าให้ทนายความคุณทักษิณทราบเลยว่า ผมจะสู้คดีแบบนี้แหละ เปิดถ้วยให้แทงเลย แทงให้ถูกก็แล้วกัน มาดูกันว่า เรื่องชั้น 14 รพ.ตำรวจ ระหว่างผม กับ ป.ป.ช. ใครจะเข้าเส้นชัยก่อนกัน”นายนิพฎฐ์ ระบุ
คปท.นัด11ม.ค.อนุสรณ์สถาน14ต.ค.
นายพิชิต ไชยมงคล อดีตแกนนำกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.)โพสต์เฟซบุ๊กPichitChaimongkolระบุข้อความว่า...เตรียมรองเท้าผ้าใบ กิจกรรมจะเข้มข้นขึ้นและจะรวมพลังกันจากภาคส่วนต่างๆมากขึ้น เริ่มจากเสาร์ที่ 11ม.ค.ที่อนุสรณ์สถาน14ตุลา เที่ยงวันยันเที่ยงคืน หลังจากนั้นก็จะดาวกระจายตามหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบส่วนจะไปที่ไหน ขอเชิญพี่น้องมาร่วม เสาร์ที่ 11 ม.ค.นี้จะประกาศไปพร้อมๆกัน งานนี้ ไม่ได้มีแค่ คปท.กองทัพธรรม ศปปส.เตรียมรองเท้าผ้าใบ แบกเป้สะพายหลัง เดินหน้าไปด้วยกัน #เราจะเดินไปด้วยกัน #เราจะไม่เดินเดียวดาย #คปท.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี