เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 นายไทกร พลสุวรรณ ตัวแทนคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นรอยร้าวระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) กับพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ว่า มีเรื่องที่สะสมกันมา เช่น พรรคภูมิใจไทยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยที่คุมกระทรวงคมนาคม อยู่เบื้องหลังการที่สหภาพการรถไฟแห่งประเทศไทยออกมาร้องเรียนประเด็นที่ดินเขากระโดง ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็เชื่อว่าพรรคภูมิใจไทยที่คุมกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวข้องกับการลงนามเพิกถอนโฉนดที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์
หรือกรณีที่มีบุคคลไปร้องเรียนให้ตรวจสอบสนามกอล์ฟของนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าอยู่บนที่ดิน ส.ป.ก.ที่ถึงขนาดทำให้นายอนุทินหลุดคำว่า “หน้าตัวเมีย” ออกมา ซึ่งแม้คนที่ไปยื่นเรื่องจะสนิทกับคนของพรรคกล้าธรรม แต่ตนมองว่าไม่มีเหตุผลที่พรรคกล้าธรรมซึ่งมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เพียง 20 - 30 กว่าคน จะไปมีเรื่องกับพรรคภูมิใจไทย ที่มี สส.มากเป็นอันดับ 2 ในฝากรัฐบาล อีกทั้งหากการเลือกตั้งครั้งหน้า เกิดพรรคภูมิใจไทยได้จัดตั้งรัฐบาล พรรคกล้าธรรมก็จะต้องไปเป็นฝ่ายค้านซึ่งไม่ดีต่อการทำงานการเมืองแบบบ้านใหญ่
ดังนั้น ตนเชื่อว่าเรื่องนี้มีคนสั่งการ ซึ่งไม่ใช่พรรคกล้าธรรมที่คุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และมีอำนาจกำกับดูแล ส.ป.ก.และคงไม่ใช่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะเรื่องนี้มีเดิมพันสูง หากจะทำต้องเป็นคนที่มีอำนาจอย่างแท้จริงเท่านั้น อีกทั้งยังมีกรณีที่มีผู้ไปร้องกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ให้ตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่าอาจมีการฮั้ว และมีการทำเป็นขบวนการซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่ - ซ่องโจร ซึ่งก็อาจโยงไปถึงพรรคภูมิใจไทยอีก
ส่วนที่มองว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยอาจมาเป็นอันดับ 1 ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นพรรคกล้าธรรมจึงเลือกข้างไว้ก่อน ตนเห็นว่า ไม่มีเหตุปัจจัยที่ชี้ว่าครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง อีกทั้งยังต้องลุ้นว่าจะยังรักษาที่นั่ง สส.ไว้ได้เกิน 100 ที่นั่งหรือไม่ด้วย เพราะทุกอย่างล้มเหลวหมด มีนายกฯ แล้ว 2 คน เคยประกาศว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) โตร้อยละ 5 ต่อปี แต่ผ่านมาแล้วปีกว่าๆ ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) สรุป GDP ว่าโตเพียงร้อยละ 2.5 ตามตัวเลขของปี 2567
ขณะที่วิธีคิดของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ทราบกันดีว่า นายทักษิณต้องการเป็นผู้กำหนดเกม ไม่ใช่เล่นในเกมของผู้อื่น แต่สถานการณ์ปัจจุบันในรัฐสภา ไม่ว่า สส.หรือ สว.พรรคภูมิใจไทยกลับเป็นผู้กำหนดเกม ซึ่งจากการพบกันระหว่างนายทักษิณกับ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรคภูมิใจไทย ตามคำแนะนำของนายอนุทิน บทสรุปคือไม่สามารถเป็นเนื้อเดียวกันได้ แผลใจครั้งนี้ใหญ่เกินกว่าจะเยียวยาความรู้สึกกันได้
ซึ่งเมื่อเห็นพฤติกรรมของพรรคภูมิใจไทยหลายครั้ง ล่าสุดคือเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงมองว่าพรรคภูมิใจไทยต้องการขึ้นเป็นพรรคอันดับ 1 ของฟากรัฐบาล ขณะที่ในพรรคเพื่อไทย สส.ที่ได้มาหลายคนก็ได้มาเพราะกระแส อีกทั้งยังถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องตระบัดสัตย์ทำให้กระแสหายไปครึ่งหนึ่ง ดังนั้นหากจะสู้กันด้วยวิธีจัดตั้งแบบบ้านใหญ่ พรรคเพื่อไทยจะสู้พรรคภูมิใจไทยไม่ได้ และตนเชื่อว่าครั้งนี้นายอนุทินพร้อมแตกหัก จากการที่ใช้คำว่าหน้าตัวเมีย ซึ่งคงไม่ได้ด่าคนที่ตรวจสอบเพราะก็ถูกสั่งมาให้ทำ แต่ตั้งใจด่าไปถึงคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
“คุณทักษิณจะใช้ศักยภาพตัวเองเพื่อดึงความนิยม แต่กลายเป็นว่ายิ่งคุณทักษิณแสดงออกมามากเท่าไร ยิ่งเรียกแขกเรียกศัตรู ยิ่งทำให้เสื่อม การที่เป็นคนอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวมันทำลายล้างกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด คือคนอุ้มทักษิณอยู่ตอนนี้เหมือนอุ้มศพ คุณทักษิณเป็นคนที่ตายแล้วทางการเมือง เพียงแต่ยังทำตัวเป็นซอมบี้เดินไป - มาเฉยๆ” นายไทกร กล่าว
นายไทกร กล่าวต่อไปว่า ที่บอกว่านายทักษิณเป็นบุคคลที่ตายแล้วทางการเมือง เช่น การระดมคนที่ต้องคัดกรองว่าใครที่มาจะไม่ก่อความวุ่นวาย เป็นภาพสะท้อนความศรัทธาที่ลดลงเหลือเพียงพลังจากการจัดตั้ง หรืออย่างการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่มีการคาดโทษนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย ว่าพื้นที่ใดพรรคพ่ายแพ้จะมีผลต่อการส่งลงสนามเลือกตั้งในครั้งหน้า เป็นการส่งสัญญาณว่าจะใช้แต่พระเดชไม่ใช้พระคุณ ซึ่งเมื่อคนขาดศรัทธาก็ใช้อำนาจ แต่หากอำนาจยังใช้ไม่ได้อีกก็คือเสื่อมและถึงจุดจบ
ทั้งนี้ เมื่อนายทักษิณพาพรรคเพื่อไทยหนีจากฝั่งเสรินิยม ตระบัดสัตย์ข้ามขั้วมาอยู่ฝั่งอนุรักษ์นิยม แต่กลับไม่ยอมประกาศว่าเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ โดยบอกว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคแห่งการเปลี่ยนแปลง จึงเหมือนกับสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ปลาก็ไม่ใช่ เสือ - สิงห์ก็ไม่เชิง การพูดจาของนายทักษิณจึงหาสาระอะไรไม่ได้ และเห็นว่าได้เสียกระแสมวลชนที่ในอดีตเคยเลือกมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย ไปให้กับพรรคประชาชน นายทักษิณรู้ดีว่าตนเองต้องเสียตลาดตรงนี้ไป แต่เมื่ออยากได้อำนาจก็ต้องยอมแลก
แต่เมื่อมายืนอยู่ในจุดนี้ ก็เป็นจุดที่หากถลำเข้ามาแล้วมีแต่จะต้องยึดให้ได้ทั้งหมด ซึ่งก็สอดคล้องกับนิสัยของนายทักษิณที่ต้องการกินรวบ แต่ก็ต้องเผชิญกับพรรคภูมิใจไทยที่เหมือนก้างขวางคอ จึงเป็นเกมบังคับที่ต้องทำลาย ไม่ต่างจากที่ทำลายพรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะนายทักษิณจะไปหานักการเมืองมาจากไหนหากไม่ทำลายพรรคภูมิใจไทย อนึ่ง นายทักษิณมักกล่าวถึงนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทยว่า “ทำตัวหล่อ” นั่นหมายความว่านายทักษิณมองว่านายอนุทินกำลังจะขึ้นมาแทนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร
นอกจากนั้น นายทักษิณยังเปิดเกมใหม่ ด้วยการพยายามติดต่อกับพรรคประชาชน แต่ก็ต้องดูการตัดสินใจของฝั่งพรรคประชาชนเองด้วย ว่าจะเลือกยอมไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย หรือจะยืนหยัดแม้เผชิญสิ่งต่างๆ ซึ่งรวมถึงการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเพื่อรักษาอุดมการณ์ไว้ และการตัดสินใจนั้นก็จะมีผลกับพรรคพระชาชนในอนาคต อีกทั้งเมื่อดูห้วงเวลาที่กำลังจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล อดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ไม่อยากให้ลูกสาวอย่าง น.ส.แพทองธาร ตายกลางสภา เรื่องนี้เป็นความกังวลของนายทักษิณที่คนเป็นนักการเมืองด้วยกันจะอ่านอากัปกิริยาออก
โดยความพยายามเจรจากับพรรคประชาชน ข้อเสนอจะมีทั้งการให้กระทรวงที่เดิมเป็นของพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึงช่วยเหลือเรื่องคดีจริยธรรมที่ สส. พรรคประชาชน 44 คน เคยร่วมลงชื่อแก้ไข ม.112 จนทำให้พรรคก้าวไกลถูกยุบ นอกจากนั้นยังมีการล็อบบี้ ส่งหลักฐานเพื่อให้ฝ่ายค้านอภิปรายรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติด้วย เพื่อไม่ให้ฝ่ายค้านล็อกเป้าที่นายกฯ แพทองธาร เพียงคนเดียว และเพื่อรับประกันว่า สส.ของพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ จะยกมือไว้วางใจรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย
เพราะหากปล่อยให้ฝ่ายค้านอภิปรายเพียง น.ส.แพทองธาร คนเดียว ไม่ต้องถึงกับโหวตไม่ไว้วางใจ เพียงงดออกเสียงก็เสี่ยงแล้ว ซึ่งหากได้เสียงสนับสนุนน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส.ทั้งหมดที่มีอยู่ในการอภิปรายนั้น น.ส.แพทองธาร ก็จะหลุดจากตำแหน่งนายกฯ ทันที และผลที่ตามมาอาจทำให้ถึงกับพรรคเพื่อไทยแตก รวมถึงการเมืองของนายทักษิณก็จะถึงจุดจบไปด้วย พรรคประชาชนจะเลือกเป็นพรรคที่มองว่าเป็นลูกไล่ของพรรคเพื่อไทยต่อไป หรือจะสถาปนาตนเองให้เป็นพรรคซึ่งนำประชาชนที่มีความคิดแบบเสรีนิยม เหยียบพรรคเพื่อไทยไปเลย ก็ต้องดูตอนนี้
“จะกล้าหาญนำไหม? หรือจะทำตัวเป็นลูกไล่เขาต่อไป? ให้เขาหลอกแล้วหลอกอีก ถ้าพรรคประชาชนอยากจะทำตัวเป็นลูกไล่ของพรรคเพื่อไทยต่อไป ก็อภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคภูมิใจไทย - พรรครวมไทยสร้างชาติด้วย เขาก็จะรวมกันแน่น สุดท้ายก็จะต้องถูกคดี ต้องหลุดในอีก 7 - 8 เดือนข้างหน้า ก็ต้องถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต 44 คน 25 สส.พรรคประชาชนก็เตรียมแถว 4 แถว 5” นายไทกร ระบุ
นายไทกร ยังกล่าวอีกว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงเป็นการแสดงความจริงใจของพรรคฝ่ายค้านด้วย เพราะในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการยื่นอภิปรายและยื่นให้หน่วยงานต่างๆ ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องในทุกทางที่มีช่องให้ทำได้ แต่ในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยดูจะมีท่าทีเงียบไป อย่างเรื่องที่ดินวัด สส.รวมกันให้ได้ 50 คน สามารถยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นจริยธรรมของ น.ส.แพทองธาร ได้ แต่ก็ยังไม่ทำ จึงเกิดข้อสงสัย จะบอกว่าไม่ต้องการใช้องค์กรอิสระทำลายกันทางการเมือง แต่ก็เคยทำในสมัย พล.อ.ประยุทธ์
แต่จะไปถึงการแตกกันของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ก็อยู่ที่พรรคฝ่ายค้าน หากมุ่งอภิปรายเฉพาะนายกฯ แพทองธาร เพียงคนเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ เช่น นายกฯ ยุบสภาก่อนยื่นอภิปราย หรือไม่ยุบสภาแต่ลาออกเพื่อเปิดให้เลือกนายกฯ คนใหม่ ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังเหลือนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นตัวแทนอีก 1 คน ทั้งนี้ ตนมองว่านายทักษิณไม่ยอมให้ลูกไปเสี่ยงกับการถูกประหารกลางสภา หากคะแนนเสียงไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่งของที่ประชุม และในอนาคตก็อาจไม่สามารถกลับมาได้ในทางการเมืองอีกเลย เมื่อเทียบกับการเว้นวรรคไปก่อนเพื่อรอโอกาสกลับมาในภายหลัง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี