‘กมธ.ปกครอง’ ถกแก้ปัญหา ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ด้าน ‘ตำรวจ’ รับเอาผิดผู้สูบไม่ได้ทุกคน เน้นจับ ‘ผู้ค้า-นำเข้า’ ขณะที่‘มหาดไทย’ เล็งเพิ่มมาตรการปราบปราม ส่ง ‘ปปง.’ ฟันฟอกเงิน ประสาน ‘สธ.จังหวัด-โรงเรียน’ ให้ความรู้เด็กถึงพิษภัย
วันที่ 12 มีนาคม 2568 เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ(กมธ.)การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานกมธ.ฯ เป็นประธานการประชุมฯ พิจารณาศึกษาแนวทางในการควบคุมและแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล ตามแนวนโยบายปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าของนายกรัฐมนตรี
โดยพ.ต.อ.จีรวัฒน์ แนวจำปา รองผู้บังคับการกองแผนงานอาชญากรรมสำนักยุทธศาสตร์ตำรวจ ผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) กล่าวว่า ในส่วนของสตช. ตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ.ถึงวันที่ 10 มี.ค.มีผลการจับกุมบุหรี่ไฟฟ้าไปแล้ว955 คดี ผู้ต้องหาทั้งหมด 991 คน มีของกลางจำนวน 524,546 ชิ้น มูลค่าทั้งหมด 52,615,695 บาท
ด้านพ.ต.ท.ปริญญา ปาละ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.1ปคบ. กล่าวว่า ฐานความผิดของผู้ที่สูบหรือผู้ครอบครองบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย หากใครมีไว้ครอบครองต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ศุลกากร มาตรา246 ฐานช่วยซ่อนเร้นหรือซื้อรับไว้ มีโทษจำคุก 5 ปี แต่นโยบายของสตช. หรือรัฐบาลมองว่าหากมีการจับกุมผู้สูบซึ่งมีจำนวนมาก ผลกระทบจะเป็นวงกว้าง และยังมองว่าผู้สูบไม่ใช่อาชญากรร้ายแรง บางครั้งอาจหลงผิดไป
"สตช.จึงมีแนวทางปฏิบัติให้มีการจับกุมได้และแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ. ศุลกากร มาตรา 246 แต่ขั้นตอนปฏิบัติให้ซอฟต์ลง คือมีการจับกุมแจ้งข้อกล่าวหาและให้ประกันตัวไปโดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ และพนักงานสอบสวนส่งของกลางให้ศุลกากรเพื่อทำการระงับคดี เมื่อได้ผลการระงับคดีจากศุลกากรแล้ว พนักงานสอบสวนก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง หากสอบสวนกันไปก็เปล่าประโยชน์ และเป็นการลดความรุนแรงด้วย" พ.ต.ท.ปริญญากล่าว
ขณะที่นายกรวีร์ สอบถามเพิ่มเติมว่า ฐานความผิด ของผู้จำหน่ายและผู้นำเข้าเป็นอย่างไร และมีข้อจำกัดทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจับกุมอย่างไร
ด้านพ.ต.ท.ปริญญา ชี้แจงว่า กรณีบุหรี่ไฟฟ้าทางสตช. แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือผู้นำเข้า ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ.2557 ว่าห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศไทย หากนำเข้าก็มีความผิดตามมาตรา 20 คือมีโทษจำคุก 10 ปี และผิดพ.ร.บ.ศุลกากร กลุ่มที่ 2 คือผู้ขาย จะมีความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค มาตรา 29/9 และมาตรา 56/4 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท ซึ่งต้องดูตามพฤติการณ์ และกลุ่มที่3 คือผู้สูบ จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 246
ส่วนพ.ต.อ.จีรวัฒน์ กล่าวยืนยันว่า ในส่วนมาตรการที่กำหนดไว้จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายของรัฐบาลซึ่งมีการกำหนดนโยบายไว้ 6 ด้าน คือ การปราบปราม,การป้องกัน,การตรวจสอบข้อมูลการแจ้งเบาะแสจากประชาชน,การบันทึกข้อมูลในระบบส่วนใหญ่เป็นข้อมมูลของผู้ต้องหาคดีบุหรี่ไฟฟ้า,การประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติงาน และการรายงานผลควบคุมประเมินผล ซึ่งทั้งหมดทางผบ.ตร.ได้ออกคำสั่งกำชับทุกหน่วยงานไปแล้ว
ด้านนายศักดิ์ชัย โรจนรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายพนักงานฝ่าย ปกครอง กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เรื่องบุหรี่ไฟฟ้านั้นนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ได้มีข้อสั่งการไปยังทุกจังหวัดให้มีการบูรณาการในพื้นที่จับกุมปราบปรามอย่างเข้มงวดเด็ดขาด รวมทั้งมีมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่หากมีการละเลย ซึ่งผลการจับกุมในส่วนภูมิภาคตั้งแต่ปี 2567 จับกุมทั้งสิ้น 286 คดี และส่วนกลางในส่วนของกรมการปกครองจับกุมไปแล้วทั้งสิ้น 34 คดี ซึ่งเน้นจับกุมในเคสใหญ่ที่ทางอำเภอไม่สามารถเข้าไปจัดการได้และในปี 2568 จับกุมเพิ่มได้อีก 20 คดี และขณะนี้นายอนุทินกำลังจะมีข้อสั่งการ ของกระทรวงมหาดไทยเพิ่มเติมไปยังจังหวัดให้ปราบปรามเข้มข้นมากขึ้น และให้มีมาตรการเพิ่มเติมหากมีความผิดตามพ.ร.บ.ศุลกากร ให้ส่งไปยงสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ดำเนินการเรื่องฟอกเงินด้วย รวมถึงมีการป้องกันบูรณาการร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดและโรงเรียน เพื่อรณรงค์ให้ความรู้กับเยาวชนเรื่องภัยจากบุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี