‘อนุทิน’ยันไม่เคยคิดแอบอ้างสถาบัน
จงรักภักดีในสายเลือด
หลังชื่อโผล่เอกสารกอ.รมน.
พท.ป้อง‘แม้ว’พร้อมรับไต่สวน
‘นิพิฏฐ์-ดิเรกฤทธิ์’ฟันธง
เชื่อชั้น14จบที่ศาลและคุก
“อนุสรณ์” ป้อง “ทักษิณ” ยันไม่ได้อ้างสิทธิพิเศษ-ฝ่าฝืนเงื่อนไขศาล พร้อมรับการตรวจสอบตามกระบวนการ ด้าน “นิพิฏฐ์” โพสต์ ช็อกแล้วหนาว ย้อนคำสั่งคดี 2 เสื้อแดง เทียบศาลสั่งไต่สวน “แม้ว” ปมชั้น 14 จบที่คุก ขณะที่ “ดิเรกฤทธิ์” เชื่อชั้น 14 จบที่ศาล ความยุติธรรมกลับคืนปชช.โดยเร็ว “เทพไท” ยก 2 คำถามฟาดวุฒิภาวะ “อิ๊งค์” ต้องปรับตัวนายกฯก่อนปรับ ครม.
เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวถึงเอกสารประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงในราชอาณาจักร ในรอบ 1 ปี ห้วงเวลาวันที่ 1 ต.ค.2567- 30ก.ย.2568 ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) มีรายชื่อของนายอนุทิน ปรากฏอยู่ในหมวดหมู่บุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน ว่า ตนเพิ่งฟังจากข่าวเมื่อเช้านี้ แต่ยังไม่เห็นเอกสารดังกล่าว แต่อาจจะต้องมีการขอไป เพราะตนเป็นรอง ผอ.รมน.ในฐานะที่เป็น รมว.มหาดไทย และยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้ในการประชุม ซึ่งที่ผ่านมาตนก็เข้าร่วมการประชุม กอ.รมน.แทบทุกครั้ง เว้นแต่ครั้งที่ผ่านมา แต่คงจะต้องสอบถามไป
“ยืนยันว่า สำหรับผมเองอย่าว่าเรื่องเคยแอบอ้าง แค่คิดก็ไม่เคยคิดอยู่แล้ว แบบไม่มีความจำเป็นใดๆ ในหน้าที่การงานของผมที่จะต้องไปแอบอ้างอ้างสถาบัน และผมก็มีความจงรักภักดีในสายเลือดอยู่แล้ว ถ้าจะถามว่าผมรู้สึกอะไรกับสถาบันสูงสุดของประเทศ ผมก็ตอบได้อย่างเดียวว่ามีความจงรักภักดีไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เทิดทูนและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของทุกพระองค์ตลอดมาแค่นั้น ขออย่าเอาไปเกี่ยวข้องกับการเมือง” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ในสังคมประชาธิปไตย การตรวจสอบเป็นเรื่องปกติ แต่ต้องไม่กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ทำลายล้างกันทางการเมือง ความเป็นธรรมต้องเกิดกับทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม เมื่อศาลมีคำวินิจฉัย ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายควรเคารพและยอมรับในกลไกของกระบวนการยุติธรรม ขอให้เชื่อมั่นว่า ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ เคารพและให้ความร่วมมือ พร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบในทุกมิติ
งดแสดงความเห็น-ละเมิดอำนาจศาล
นายดนุพร ปุณณกันต์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตั้งองค์คณะไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ ที่ไปรักษาตัวในชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจ ในส่วนนี้ทางพรรคได้มีการพูดคุยกันบ้างหรือไม่ ว่า พรรค พท.ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้ เพียงแค่มีการพูดคุยกับฝ่ายกฎหมายของพรรคว่าเรื่องนี้จะให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราจะไม่ไปมีความเห็น เนื่องจากพรรคพท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และจะเห็นว่า ขณะนี้มีหลายคนที่ใช้ความเห็นส่วนตัวมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ว่าทำได้หรือทำไม่ได้ พรรคเพื่อไทยในฐานะที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลการจะไปวิพากษ์เรื่องศาลหรือควรไม่ควรนั้น เราก็กลัวจะถูกมองได้ว่าไปก้าวก่ายอำนาจศาลหรือไปดูหมิ่นศาล ฉะนั้น จึงควรว่าไม่อยากเอาเรื่องการเมืองไปกระทบอำนาจศาล
เมื่อถามถึง กรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ตั้งข้อสังเกตว่านายทักษิณป่วยทิพย์ นายดนุพร กล่าวว่า เป็นความเชื่อของนายรังสิมันต์ เป็นสิทธิ์ที่จะสามารถเชื่อได้เพียงแต่ว่าหากศาลเข้าสู่กระบวนการแล้ว ศาลจะมีวิธีสืบหาความจริงว่า นายทักษิณป่วยจริงหรือไม่ ไปรักษาโรคอะไรบ้างที่โรงพยาบาล ซึ่งคงจะปฎิเสธไม่ได้ว่ามีเอกสารอยู่ แต่เนื่องจากเป็นเอกสารส่วนบุคคลการจะนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะนั้น บางครั้งโดยข้อเท็จจริงก็ไม่สามารถทำได้ ฉะนั้น เมื่อเรื่องไปถึงขั้นตอนของศาล ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมไป
‘นิพิฏฐ์โพสต์ช็อคแล้วหนาวคดี2เสื้อแดง
นายนิพิฏฐ์อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก“นิพิฏฐ์อินทรสมบัติ” หัวข้อ “ช็อค แล้วก็หนาว” ระบุว่า...กรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ผมคิดว่า คุณทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกรัฐมนตรี คงต้อง “ช็อค” อย่าว่าคุณทักษิณช็อคเลย ผมเองก็ “ช็อคเล็กน้อย” ด้วยเช่นกัน การที่ศาลใช้อำนาจรับไต่สวนเอง ถามว่าเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นไหม ตอบว่าเคยเกิดขึ้น เมื่อปี 2553 ตอนที่มีการชุมนุมของกลุ่ม“คนเสื้อแดง”ตอนนั้น นายเจ๋ง ดอกจิกและนายก่อแก้ว พิกุลทอง มีพฤติการณ์ข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยปราศรัย ระบุชื่อตุลาการ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของตุลาการ และให้คนเสื้อแดงเดินทางไปที่บ้านของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผมจึงไปยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาถอนประกัน ตอนนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์กันเยอะว่าทำได้ไหม แต่ศาลก็รับคำร้องไว้โดยให้เหตุผลว่า“ความปรากฏต่อศาลจากคำร้องของ นายนิพิฏฐ์อินทรสมบัติ” ก็สั่งไต่สวน และมีคำสั่งถอนประกัน เจ๋ง ดอกจิก และ ก่อแก้ว พิกุลทอง บุคคลทั้งสองก็เข้าคุกไป จากวันนั้นมาถึงวันนี้ 15 ปีแล้ว เรื่องแบบนี้ก็เวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ที่เขียนมาเพื่ออธิบายว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ไม่เคยมี ศาลเคยรับเรื่องแบบนี้ไว้ไต่สวนมาก่อนแล้ว ด้วยอำนาจของศาลเอง ตอนนี้ ผมหายช็อคแล้ว คุณทักษิณ ยังช็อคอยู่อีกหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่น่าจะเริ่มหนาวแล้ว
‘ดิเรกฤทธิ์’ชี้ความยุติธรรมกลับคืน ปชช.
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตเลขาธิการสํานักงานศาลปกครอง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เห็นข้อเท็จจริงที่อาจมีการฝ่าฝืนอำนาจศาลโดยคณะบุคคลด้วยศาลเองแล้ว
ศาลไม่จำเป็นต้องอาศัยโจทก์หรือผู้ร้องให้ต้องมากล่าวอ้างและนำสืบในระบบกล่าวหาอีก แล้วใช้อำนาจศาลแสวงหาข้อเท็จจริงในระบบไต่สวนเองซึ่งจะมีศาลเป็นศูนย์กลางสั่งให้ทุกฝ่ายเปิดเผยความจริงทั้งหมด แล้วก็สามารถตัดสินความถูกต้องของระเบียบกฎหมายและการบังคับใช้ของผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ รวมทั้งสั่งลงโทษผู้กระทำผิดทุกคนได้อย่างกว้างขวางเกินกว่าคำขอของโจทก์หรือผู้ร้องอีกด้วย คดีชั้น14 รพ.ตำรวจ จึงจบที่ศาลโดยเร็ว และความยุติธรรมจะกลับมาเป็นของประชาชนโดยเร็วแล้วครับ
‘เทพไท’ยก2คำถามฟาดวุฒิภาวะ‘อิ๊งค์’
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์คลิปพร้อมเนื้อหาผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ “ปรับ นรม. ก่อนปรับ ครม.”โดยระบุว่านับตั้งแต่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงบัดนี้ เมื่อถูกผู้สื่อข่าวขอสัมภาษณ์จะเห็นว่า นางสาวแพทองธาร พยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นทางการเมือง ซึ่งอาจจะเกรงกลัวว่า พูดไปแล้วเกิดความผิดพลาด จะถูกนำไปขยายผลทางการเมืองได้ จึงทำให้นางสาวแพรทองธาร พยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถาม แบบผลัดวันประกันพรุ่ง หรือกลับไปหาข้อมูลก่อน รวมถึงการตอบกระทู้ถามสดในสภาผู้แทนราษฎร ก็หลีกเลี่ยงเช่นเดียวกัน เมื่อวาน (1พ.ค.) มีการตั้งคำถามขอสัมภาษณ์นางสาวแพทองธาร ใน 2 ประเด็น ที่นางสาวแพทองธารเกี่ยวข้องโดยตรง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบเหมือนเดิม คือ 1.นักข่าวสอบถามเรื่องกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้นัดไต่สวนคดีชั้น 14 ของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนางสาวแพทองธาร มีข้อมูลดี เป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด สามารถตอบคำถามได้ทุกอย่างว่า อาการป่วยของนายทักษิณเป็นอย่างไร เพราะเป็น 1 ใน 10 รายชื่อผู้ที่เข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจได้ สามารถบอกความจริงที่เกิดขึ้นได้ ลำดับเหตุการณ์ได้ทั้งหมด แต่นางสาวแพทองธารปฎิเสธที่จะตอบคำถาม กลับโยนให้ไปถามนายทักษิณเอง
ลั่นต้องปรับตัวนายกฯก่อนปรับ ครม.
2.เมื่อวานเป็นวันแรงงานแห่งชาติ รัฐบาลประกาศที่จะขึ้นค่าแรงให้กับผู้ใช้แรงงาน วันละ 400 บาทก่อน ตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้ว่า จะขึ้นค่าแรงให้วันละ 600 บาท บัดนี้รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลมาครึ่งเทอม ค่าแรง 400 บาท ประกาศแล้วประกาศอีก ยังไม่สามารถทำได้ เมื่อถูกตั้งคำถามว่า ค่าแรง 400 บาทจะทำได้หรือไม่ นางสาวแพทองธารกลับตีลูกมึน ไม่ตอบคำถาม หันหน้าไปสนใจเรื่องอื่น ทั้งที่สามารถตอบคำถามได้ เพราะเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าของนโยบายค่าแรง 600 บาท ต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ออกมารับหน้าแทน ขอโทษผู้ใช้แรงงานที่ไม่สามารถขึ้นค่าแรงวันละ 400 บาทเป็นของขวัญวันแรงงานได้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นนโยบายของพรรคภูมิใจไทย
จะเห็นได้ว่าวุฒิภาวะ ความรู้ความสามารถ การตอบคำถามผู้สื่อข่าวของนางสาวแพทองธารต่ำมาก คนเป็นนายกรัฐมนตรีต้องกล้าตอบคำถามทุกเรื่อง ที่เกี่ยวกับการบริหารประเทศ แต่ที่ผ่านมานางสาวแพทองธาร หลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถาม ไม่ว่าเรื่องส่วนตัว เรื่องส่วนรวมเรื่องการเมือง อาจจะเป็นเพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาในการบริหารประเทศชาติ ตอบแล้วกลัวจะผิดพลาด เกิดอาการแหยง ต้องกลับไปทำการบ้าน หาข้อมูล กลับไปติวก่อน จึงมาตอบคำถามได้ ถ้าวุฒิภาวะของนางสาวแพทองธาร มีเพียงแค่นี้ ถ้าจะปรับ ครม. อยากให้ปรับ ครม.ก่อน หมายความคือ ถ้าจะปรับครม.ก็ขอให้ปรับตัวนายกฯก่อน
ปชป.ขอโอกาสสู้ใหม่สนามภาคใต้
นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการรณรงค์หาเสียงเพื่อเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช แต่พรรคประชาธิปัตย์แพ้เลือกตั้ง ว่า ตนเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมรณรงค์ และร่วมเวทีปราศรัยของนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ผู้สมัครของพรรค ร่วมกับผู้บริหาร ส.ส. ผู้ใหญ่ในพรรคหลายท่าน อาทิ นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราชและรองหัวหน้าพรรคฯ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค รวมถึง อดีต ส.ส. ของพรรคจำนวนมาก โดยมีพี่น้องประชาชนมาให้การต้อนรับทักทาย พูดคุยบอกรักพรรคประชาธิปัตย์อย่างสนิทสนมคุ้นเคย ถือเป็นบรรยากาศการช่วยผู้สมัครหาเสียงที่ตนได้ซึมซับวิถีการเมืองของพรรคฯ ที่ปฏิบัติมาโดยตลอด อีกทั้งเป็นไปตามแนวทางที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคฯ ได้ประกาศจุดยืนในเรื่องความมีเอกภาพ ซึ่งเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพรรคประชาธิปัตย์อีกด้วย
นายร่มธรรม กล่าวต่อว่า สำหรับผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ที่พรรคฯพ่ายแพ้ มาจากหลายปัจจัยดังที่มีหลายท่านออกมาวิเคราะห์ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ย่อท้อ อย่างไรก็ตามการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้ เป็นบทเรียนที่สำคัญของทุกคนในพรรคในการพัฒนา และมุ่งมั่นในการทำงานอย่างแข็งขัน โดยหวังว่าจะทำให้พี่น้องประชาชนให้โอกาสพรรคฯ ได้ทำงานต่อไป
ยึดประโยชน์ชาติ-ประชาชนเป็นที่ตั้ง
รองโฆษกประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานายเฉลิมชัย ได้ให้การสนับสนุนการเลือกตั้งซ่อมนี้อย่างเต็มที่ และนายชินวรณ์ ได้ทำงานอย่างสุดความสามารถในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งด้วยแนวทางอันสุจริต ตรงไปตรงมา พรรคฯโดยหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร อย่างเต็มที่ด้วยความตั้งใจ ทำงานให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้พรรคฯ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ อีกทั้ง ส.ส.ของพรรคฯ ทั้ง25คน ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งในสภาฯและนอกสภาฯเพื่อดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน
“ผมอยากขอให้การเลือกตั้งซ่อมนี้นำไปสู่การถอดบทเรียนและนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพี่น้องประชาชนจะเข้าใจแนวคิดและการทำงานของพรรคฯเพิ่มมากขึ้น จึงขอเชิญชวนผู้ที่เคยทำงานกับพรรคฯรวมถึงผู้มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมกันทำงานเพื่อพัฒนาพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง โดยยึดประโยชน์ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนด้วยกัน”นายร่มธรรม กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี