วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2568
วิเคราะห์ 7 ข้อตีแสกหน้า‘ภูมิธรรม’ เบี่ยงประเด็นโต้ครหา‘นายกฯ’ใช้เงินหลวงไปต่างประเทศ
25 พฤษภาคม 2568 รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ระบุว่า...
วันก่อนอ่านการสัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม ซึ่งเป็นการตอบโต้ข้อกล่าวหาเรื่องการใช้งบประมาณของนายกรัฐมนตรีไปต่างประเทศ โดยเขาใช้กลยุทธ์สามแนวทาง คือ
การโจมตีผู้วิจารณ์ว่าขาดความรับผิดชอบในสื่อสังคม
การอ้างความมั่งคั่งของนายกฯ ว่าไม่จำเป็นต้องเบียดบังงบประมาณ
และการอ้างความลับทางการทูตที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ลองเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจกับสิ่งที่นายภูมิธรรมกำลังพยายามทำ
1.เขาไม่ได้ตอบคำถามโดยตรงเกี่ยวกับความโปร่งใสในการใช้งบประมาณ แต่กลับใช้วิธีการเบี่ยงประเด็นแบบเป็นระบบ นี่คือสัญญาณแรกที่เราควรระมัดระวัง เพราะในระบอบประชาธิปไตย การตั้งคำถามเกี่ยวกับการใช้เงินภาษีไม่ใช่การทำลายล้าง แต่เป็นสิทธิและหน้าที่ของประชาชน
2.การที่นายภูมิธรรมเรียกการตรวจสอบว่า "ดราม่า" นั้นสะท้อนความเข้าใจที่บิดเบือนเกี่ยวกับบทบาทของการวิจารณ์ในสังคม เขาทำให้การตั้งคำถามที่ชอบธรรมดูเหมือนเป็นการแสวงหาความโด่งดัง หรือการสร้างความวุ่นวายโดยไม่มีเหตุผล วิธีการนี้เป็นอันตรายเพราะมันพยายามทำให้ประชาชนรู้สึกผิดที่ใช้สิทธิในการตรวจสอบ
3.ประเด็นที่ร้ายแรงที่สุดคือการใช้ความมั่งคั่งเป็นข้อแก้ตัว เหตุผลที่ว่า "คนรวยไม่ต้องขโมย" นั้นขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของการตรวจสอบถ่วงดุล ลองคิดดูว่าหากเราใช้ตรรกะนี้ คนที่มีฐานะดีก็จะได้รับการยกเว้นจากการตรวจสอบ ในขณะที่คนธรรมดาต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตลอดเวลา นี่เป็นการสร้างกฎเกณฑ์แบบสองมาตรฐานที่ไม่ยอมรับสามารถยอมรับได้
ยิ่งไปกว่านั้น การอ้างความมั่งคั่งยังเป็นการดูหมิ่นความฉลาดของประชาชน เสมือนว่าเราไม่เข้าใจว่าการทุจริตไม่ได้เกิดจากความยากจนเพียงอย่างเดียว แต่อาจเกิดจากความโลภ ความต้องการอำนาจ หรือแม้แต่ความเคยชินกับการใช้ทรัพยากรของผู้อื่น ประวัติศาสตร์มีตัวอย่างมากมายของผู้นำที่ร่ำรวยแต่ยังคงใช้อำนาจในทางที่ผิด
4.การอ้างความลับทางการทูตก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้ว่าการทูตจะมีส่วนที่ต้องเก็บเป็นความลับจริง แต่การนำข้ออ้างนี้มาใช้ปิดกั้นการตรวจสอบทั้งหมดนั้นเกินขอบเขต ในประเทศที่มีระบบประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง แม้การเดินทางของผู้นำจะมีส่วนที่เป็นความลับ แต่การใช้งบประมาณก็ยังคงต้องมีการรายงานและตรวจสอบได้
5.สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือการใช้คำว่า "วิญญูชน" เพื่อแบ่งแยกผู้คน เขาสื่อให้เข้าใจว่าคนฉลาดจะไม่วิจารณ์ ส่วนคนที่วิจารณ์นั้นขาดปัญญา นี่เป็นกลยุทธ์ที่อันตรายเพราะมันพยายามสร้างความอับอายให้กับการใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็น เหมือนกับการบอกว่าคนดีไม่ควรสงสัยผู้นำ
6.ที่สำคัญที่สุดคือประโยคที่ว่า "การบริหารงานไม่ใช่สิ่งที่จะมาพูดในที่สาธารณะ" นี่เป็นการขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับหลักการของรัฐบาลแบบเปิด ในระบอบประชาธิปไตย การบริหารงานด้วยเงินภาษีต้องสามารถตรวจสอบได้ การปิดบังข้อมูลโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนและสมเหตุสมผลนั้นเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน
7.การสัมภาษณ์นี้สะท้อนปัญหาโครงสร้างที่ลึกกว่าการเมืองพรรคไหนพรรคหนึ่ง มันแสดงให้เห็นว่าผู้ที่อยู่ในอำนาจยังคงมองการตรวจสอบเป็นภัยคุกคาม ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการประชาธิปไตยที่สุขภาพดี สิ่งนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาความโปร่งใสและความรับผิดชอบในสังคมไทย
สำหรับเราในฐานะประชาชน การสัมภาษณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้เราไม่หลงกลยุทธ์การเบี่ยงประเด็น เราต้องยืนยันสิทธิในการตรวจสอบ ไม่ว่าผู้นำจะร่ำรวยหรือยากจนเพียงใด และไม่ยอมให้การอ้างความลับกลายเป็นเครื่องมือปิดปากการวิจารณ์
เพราะประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง
ต้องอาศัยประชาชนที่กล้าตั้งคำถามและผู้นำที่พร้อมตอบ

-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี