เป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริง
ภาพของผู้ชายสองคนที่เคยอยู่กันคนละขั้วการเมือง มายืนกอดกันบนเวที พร้อมประกาศเจตนารมณ์ร่วมกัน
หนึ่งคือ สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอล์ค อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)
อีกหนึ่งคือ จตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
ทั้งคู่เคยห้ำหั่น เชือดเฉือนกันมาอย่างยาวนานเมื่อครั้งอดีต ยุคที่มีความคิดเห็นและเคลื่อนไหวต่อ ทักษิณ ชินวัตร แตกต่างกัน คนหนึ่งขับไล่ อีกคนสนับสนุน
แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
ภาพนี้เกิดขึ้นบนเวทีเสวนาในงาน “ความจริงมีหนึ่งเดียว” ครั้งที่ 2/2568 ที่หอประชุมเล็ก (ศรีบูรพา)มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2568
สรุปคำพูดบางช่วงบางตอนของทั้งสองคน
สนธิ บอกว่า รู้จักจตุพร พรหมพันธุ์ มาตั้งแต่สมัยเค้ายังเป็นศัตรูกัน ตอนนั้นตนลุกขึ้นมาเพื่อสู้กับทักษิณ ส่วนจตุพรยืนข้างทักษิณ ชินวัตร เราปะทะกันมากมายหลายยก จากนั้น วิถีชีวิตของแต่ละคนก็ต้องจากกันไปจากกันมา จนกระทั่งเรามาพบกันอีกทีหนึ่งที่ศาลอาญา แล้วก็ในเรือนจํา หลังจากนั้น จตุพร ประกาศว่าจะสู้กับทักษิณทั้งๆ ที่เคยทำงานให้แบบถวายหัว ตนก็เลยติดตามจตุพรมาโดยตลอด ซึ่งก็สงสัยว่าที่เขาทํางานแล้วออกมาต่อต้านทักษิณนั้น มันเป็นของจริงหรือของปลอม ติดตามดูประมาณ 2-3 ปี แล้วก็ในช่วงที่เค้าไปประท้วงร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่มี นิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา เขาได้มีโอกาสมาขอเข้าพบตนกับนิติธร ชักชวนให้ตนออกมานําประชาชน
สนธิ บอกว่า สัมผัสจตุพรแล้ว มีความรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดิมจริงๆ นะ เค้าเป็นคนที่มุ่งมั่น เขาไม่ใช่คนที่จะทําลายทักษิณเพียงอย่างเดียว เขาเป็นคนที่พร้อมที่จะทํางานเพื่อส่วนรวม เขาไม่มีสี และยังบอกว่า เขาเจ็บปวดกับการเมืองมามาก เจอของปลอมมามาก ทุกวันนี้ผมยืนหยัดขึ้นมาเพื่อเปิดโปงของปลอมพวกนี้ให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ
สนธิ ยังขอให้ผู้ที่มาร่วมในงานเสวนา เปิดใจให้กว้าง คนที่เคยหลงผิดแล้วเขาเข้าใจอะไรผิดแล้วเขาไปเจอความเลวความชั่วร้ายของจริง เราต้องให้โอกาส จตุพร ขอให้พ่อแม่พี่น้องให้โอกาสกับเขา เพราะการที่เขากล้ามาขึ้นเวทีนี้ แสดงว่าเขามีความกล้าหาญในใจแล้ว เราต้องให้โอกาสเขา การที่เขาต่อสู้เรื่องโรงพยาบาลตํารวจชั้น 14 มาตลอดเวลา โดยไม่หยุด มันก็เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งพิสูจน์ว่าจตุพร พรหมพันธุ์ วันนี้ไม่ใช่จตุพร พรหมพันธุ์ คนเก่า “ตอนนี้ผมรับเขาเป็นน้องแล้ว”
ขณะที่ จตุพร บอกว่า ตนเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับนายสนธิ ในวันนี้ ซึ่งนายสนธิได้ชวนตนในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้ วันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย เรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางไปในทิศทางที่ถูกต้อง และพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร
“ผมผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ผมประกาศรบกับนายทักษิณ ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับผมเหมือนเดิม ทั้งนี้วันที่นายทักษิณ กลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัฒน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย”
จตุพร กล่าวด้วยว่า วันนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่นายทักษิณกลับมาประเทศไทย และทำให้แต่ละฝ่ายสามัคคีกันโดยไม่ได้นัดหมาย เรื่องราวของบ้านเมืองจากนี้ไปภาคประชาชนต้องให้กำลังใจกัน เราเจอการบริหารประเทศแบ่งแยกและปกครอง รัฐบาลทั้งโลกและประเทศไทยล้วนแต่ชั่วทั้งสิ้น วิธีจัดการรัฐบาลนี้คือประชาชนต้องสามัคคีเท่านั้น
จตุพร ระบุว่า หลังวันที่ 13 มิถุนายนนี้ บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดใน กกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ ตนมองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยน แต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่ขออย่าหนีจิ้งจกมาเจอตุ๊กแก
“วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้นายทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว”
การประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของบุคคลที่ในอดีตเคยยืนกันอยู่คนละขั้วมาสู่การจับมือต่อสู้เพื่อเป้าหมายเดียวกันครั้งนี้ถือว่าน่าจับตามองอย่างมาก เนื่องจากทั้งคู่มีประสบการณ์ต่อสู้ทางการเมืองที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน จึงต้องคอยดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นในแวดวงการเมืองไทยนับจากนี้
ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี