ยิงถล่มเดือดบริเวณชายแดน‘ช่องบก’
ทหารไทยปะทะกัมพูชา
หลังพบเขมรตั้งจุดตรึงกำลัง
อยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน
มทภ.2ลั่นทหารไทยไม่ถอย
‘บิ๊กอ้วน’มุกเดิมเข้าใจกันผิด
ชายแดนไทย-กัมพูชา ระอุ ทหารไทยยิงปะทะเดือดทหารกัมพูชา หลังจากพบทหารกัมพูชา ตรึงกำลังที่ช่องบก จ.อุบลฯพื้นที่อ้างสิทธิ 2 ฝ่าย ก่อนเจรจายุติการปะทะ ด้านแม่ทัพภาค 2 ย้ำทหารไทยไม่ถอย ส่วน “ภูมิธรรม” กำชับให้ระมัดระวัง เหตุยังเผชิญหน้า ขอฟังรายละเอียดปมกัมพูชา ละเมิด MOU 43
เมื่อเวลา 05.45 น.วันที่ 28 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เกิดเหตุยิงปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวยังไม่มีการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา อย่างเป็นทางการ และเป็นพื้นที่ซึ่งทั้งสองประเทศอ้างสิทธิทับซ้อน แต่มีการทำข้อตกลงร่วมกันในการ “รักษาสถานภาพเดิม” (Status Quo) เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดน โดยกำหนดให้ไม่มีการดำเนินการที่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงในพื้นที่ เช่น การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง การเคลื่อนย้ายกำลังพล หรือการเข้าดำเนินการต่างๆ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนเกิดการยิงปะทะดังกล่าว ทหารไทยได้ตรวจพบการเคลื่อนกำลังพล และการตั้งจุดตรึงกำลังในพื้นที่ของทหารฝ่ายกัมพูชา ซึ่งไทยอ้างสิทธิอยู่ เป็นการขัดต่อข้อตกลง โดยฝ่ายทหารไทย ได้จัดกำลังเข้าตรวจสอบ พร้อมกับเข้าไปเจรจา กระทั่งเกิดเหตุยิงปะทะกันขึ้น
ทั้งนี้ กำลังพลของไทยมาจากหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ซึ่งปฏิบัติภารกิจตามปกติในการประสานงานและเฝ้าระวังพื้นที่ ไม่มีเจตนาแสดงอำนาจเหนือดินแดน หรือยั่วยุใดๆ สำหรับเหตุปะทะเกิดจากความคลาดเคลื่อนในการประเมินสถานการณ์ในระดับภาคสนาม และยุติลงภายในเวลาอันสั้น โดยไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ซึ่งภายหลังเกิดเหตุการณ์ พล.ต.ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา ได้ประสานทางโทรศัพท์มายังรองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และสามารถตกลงยุติเหตุการณ์ได้ภายในเวลาประมาณ 05.55 น.
“สถานการณ์ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการหารือผ่านกลไกทวิภาคี ตามกรอบข้อตกลงที่มีอยู่ เพื่อจัดการกรณีพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนด้วยวิถีทางสันติ และวางแนวปฏิบัติร่วมกันในอนาคต” แหล่งข่าว กล่าวและว่า กำลังพลของฝ่ายไทยปลอดภัยทุกนาย และสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิด ทางกองทัพบก ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พร้อมประสานความร่วมมือกับกัมพูชา เพื่อรักษาเสถียรภาพชายแดนและความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ
แหล่งข่าวระบุอีกว่า กองทัพบก ขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนและประชาชน ในการติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวทางการ และงดเผยแพร่ภาพหรือข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ซึ่งอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ชายแดนไทยคือเส้นแห่งอธิปไตยและสันติ ที่เราต้องธำรงไว้ด้วยความเข้าใจและความร่วมมือ
ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี เกี่ยวกับเหตุปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านช่องบก จ.อุบลราชธานี โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี รายงานว่าพบทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา แต่เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เกิดเข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที
ต่อมาเวลา 05.55 น.พล.ต.ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พ.อ.บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติการปะทะ โดยทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ ปัจจุบันทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่ ขอยืนยันว่ากำลังพลฝ่ายไทยปลอดภัย ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบในลำดับต่อไป
ด้าน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ว่าช่วงเช้าที่ผ่านมา กำลังพลของกองกำลังสุรนารี ได้ลาดตระเวนพบทหารกัมพูชา ขุดคูเลตเช่นเดียวกับที่บริเวณเนิน 745 ช่องบก ก่อนหน้านี้ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ โดยก่อนจะเกิดเหตุปะทะกัน ทหารไทยได้เข้าไปเจรจา แต่ทางกัมพูชา ยิงสวนออกมา จึงเกิดการปะทะกัน อย่างที่เป็นข่าว สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาหลังจากนี้ ผู้บังคับบัญชาในระดับพื้นที่ กำลังพูดคุยเจรจา
“ยืนยันว่าทหารไทยทำหน้าที่รักษาอธิปไตยตามแผนที่ 1 : 50,000 ซึ่งในพื้นที่ทับซ้อนของทั้ง 2 ประเทศ จะมีการออกลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้ำเข้ามา ซึ่งทุกฝ่ายต้องยึดตาม MOU 43” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
ขณะเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวว่า ได้รับรายงานเหตุปะทะกันในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี แล้ว ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอ้างสิทธิ โดยทางกัมพูชา ได้เข้ามาตรึงกำลังในเขตอ้างสิทธิของทั้ง 2 ประเทศ ส่วนทหารไทยลาดตระเวนไปพบ จึงเข้าเจรจา แต่กลับถูกฝ่ายกัมพูชา ยิงใส่ก่อน ภายหลังเกิดหตุ ทหารคนสนิทของ พล.อ.เตีย เซ็ยฮา รมว.กลาโหม กัมพูชา ได้โทรศัพท์มาหา พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมชกลาโหม ขอให้ทั้งสองฝ่ายลดการเผชิญหน้า ซึ่งปัจจุบันทหารไทยยังตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ เช่นเดียวกับฝ่ายกัมพูชา
“ผมได้รับรายงานจากในพื้นที่ว่า ถือเป็นเหตุการณ์ที่จำเป็นที่จะต้องยิงโต้ตอบ เพื่อป้องกันตัวและปกป้องอธิปไตยของไทย และผมได้กำชับว่าให้ระมัดระวัง สถานการณ์ขณะนี้แม้จะหยุดยิง แต่กำลังทั้งสองฝ่ายยังเผชิญหน้ากันอยู่ โดย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้เรียกประชุมกองกำลังที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทั้งหมดแล้ว” นายภูมิธรรม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่กัมพูชา เข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ เป็นการละเมิด MOU 43 หรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดน และยังไม่มีข้อตกลงว่าเป็นพื้นที่ของใคร นอกจากนี้ก็เคยพูดคุยกันไปแล้ว ว่าในพื้นที่เช่นนี้ห้ามไปก่อสร้างหรือทำสิ่งใดๆ เพิ่มเติม ยกเว้นการลาดตระเวนร่วมกันของกำลังทั้ง 2 ฝ่าย โดยปราศจากอาวุธ เมื่อถามว่า เหตุดังกล่าวถือว่าฝ่ายกัมพูชา เป็นฝ่ายละเมิด MOU 43 ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขอฟังรายละเอียดทั้งหมดก่อน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเร่งด่วน เพื่อกำชับแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่วถึงกรณีทหารไทยปะทะกับทหารกัมพูชา ที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ว่า กมธ.เพิ่งลงพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม และทราบว่าสถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด ทางกัมพูชา พยายามเร่งรัดเรื่องเส้นเขตแดน และมีมุมมองการแบ่งเส้นเขตแดนที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นเรื่องนี้ไทยต้องยืนยัน ว่าปราสาทตาเมืองธม เป็นของไทย ให้ชัดเจน ตนสนับสนุนให้เกิดการเจรจาพูดคุยเคลียร์เรื่องเส้นเขตแดน รัฐบาลควรใช้จังหวะนี้พูดคุยหาทางออก เพราะทั้ง 2 ประเทศ ไม่สามารถยกประเทศหนีไปได้ ต้องอยู่ร่วมกัน และสามารถคิดเรื่องการค้าการลงทุนในการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ได้
“หากมีการรบหรือปะทะกัน มันไม่ดีต่อใคร ตอนนี้ชาวบ้านที่นั่นเตรียมทำความสะอาดบังเกอร์ เตรียมกระเป๋าพกรอว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการหลบหนี ไม่มีใครได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ แต่ถ้าเราสามารถเจรจาลดดีกรีความร้อนแรง ตนเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ รัฐบาลต้องเอาจริงกับเรื่องนี้ อย่าทำให้ประชาชนคนไทยสงสัยว่า ความสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่นกับรัฐบาลกัมพูชา มันจะนำไปสู่การเอื้อประโยชน์บางอย่างที่ไม่ได้ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของคนไทย” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้รัฐบาลต้องชัดเจน และขอยกตัวอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นคือการสั่งให้ถอนทัพ และนำกำลังออกจากปราสาทตาเมืองธม มันไม่ควรเพราะมันเป็นไปตามผลการเจรจาที่ย้อนกลับไปตั้งแต่การปะทะกันครั้งสุดท้าย ตนคิดว่ากองทัพ ไม่ได้ทำอะไรผิดในเรื่องนี้ และยืนยันว่าปราสาทตาเมือนธม เป็นของเรา แต่ข้อขัดแย้งก็ต้องมีการเจรจาเชิงรุก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้ซ้ำอีกแล้ว
ต่อมา เพจเฟซบุ๊ก RFA Khmer โพสต์ข้อความโดยระบุว่า ทหารเขมร ชื่อ Soun Roun อายุ 48 ปี อาศัยอยู่ในหมู่บ้านโคมเปญ ชุมชนยาง อ.เจียมกสันติ์ จ.พระวิหาร ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นทหารที่ยืนอยู่ในเขตชายแดน เสียชีวิตจากการยิงปะทะกับทหารไทย ในช่วงเช้าวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ โดยญาติที่ไม่ประสงค์ออกนาม บอกกับ Radio Asia Liberty ว่าขณะนี้ได้มีการจัดงานศพนาย Soun Roun ในกองร้อยที่ 9
สำหรับเหตุปะทะกันในครั้งนี้ ฝ่ายไทย ระบุว่าทหารเขมร เข้าไปในชายแดนที่พิพาท และกองกำลังได้เข้าเจรจาและกีดขวาง แต่ถูกทหารเขมรยิงก่อน ทำให้ทหารไทยยิงกลับ เพื่อเป็นการป้องกัน แต่ Mao Phalla โฆษกกองทัพกัมพูชา บอกว่า ทหารไทยเป็นฝ่ายยิงก่อน เนื่องจากทหารเขมรกำลังลาดตระเวนชายแดนซึ่งปฏิบัติเป็นประจำ แต่หลังจากปะทะกัน 10 นาที ผู้บัญชาการกองทัพภาคของทั้งสองประเทศ ได้ติดต่อกันทางโทรศัพท์ เพื่อสั่งให้ทหารหยุดยิง
สำหรับชายแดนช่องบก หรือที่รู้จักกันในนาม “สามเหลี่ยมมรกต” เป็นพื้นที่รอยต่อ 3 ประทศ คือไทย ลาว และกัมพูชา ตั้งอยู่ใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงจุดผ่านแดนทั่วไป แต่ยังเป็นผืนแผ่นดินที่จารึกประวัติศาสตร์ในฐานะสมรภูมิ ที่เคยพิสูจน์ความกล้าหาญของเหล่าวีรชนทหารไทย โดยเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น คือในช่วงปี 2528-2530 ซึ่งกองทัพเวียดนาม ที่ยึดครองกัมพูชา อยู่ ได้รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิของไทย ทางกองกำลังสุรนารี ได้เปิดยุทธการ ผลักดันและขับไล่กองกำลังต่างชาติออกจากผืนแผ่นดินไทย โดยการสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือด และยากลำบาก เนื่องจากภูมิประเทศเป็นป่าทึบ เขาสูงชัน และมีทุนระเบิดจำนวนมาก ก่อนจะขับไล่ทหารเวียดนาม ออกไปได้ แต่ก็แลกมาด้วยการสูญเสียกำลังพลมากถึง 109 นาย และบาดเจ็บอีก 664 นาย นับเป็นบันทึกวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของทหารไทยในการปกป้องอธิปไตยของชาติ และแม้ว่าสมรภูมิครั้งนั้นจะสิ้นสุดลง แต่ปัญหาการปักปันเขตแดนยังคงอยู่
ช่องบก ยังคงเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน และเกิดความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ เป็นระยะ แผนที่ซึ่งใช้ในการปักปันเขตแดนในอดีตขาดความแม่นยำ และไม่สอดคล้องกัน ทำให้ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างหยิบยกขึ้นมาอ้างสิทธิพื้นที่ทับซ้อน กลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่ยังปรากฏให้เห็นจนถึงปัจจุบัน โดยทั้งสองฝ่ายยังอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อหาแนวทางร่วมในการปฏิบัติร่วมกันอย่างสันติ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี