‘สว.’ผนึกตั้งกมธ.ร่วมฯรุกสอบมติ‘แพทยสภา’ปม‘ชั้น 14’ หวั่นเคส‘เลือกปฏิบัติ’ลามกระทบ‘จริยธรรมแพทย์-ความเสมอภาค-กระบวนการยุติธรรม’ ปัดเอี่ยวการเมืองโยงเล่นงานคืนจากพิษ‘คดีฮั้ว’
29 พ.ค.68 ที่รัฐสภา นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา แถลงกรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงของแพทยสภามีมติลงโทษในกรณีชั้น 14 ว่า ขณะนี้การศึกษาเรื่องกรณีชั้น 14 มีมูลเหตุจากมติของแพทยสภาครั้งที่ 5/2568 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องจากคดีจริยธรรมของแพทย์ที่ถูกกล่าวโทษ ว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมและวิชาชีพเวชกรรม ในการดูแลผู้ต้องขังระดับสำคัญมาก โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่ง นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา ได้เปิดเผยในที่ประชุมว่า ที่ประชุมแพทยสภาได้มีมติตักเตือนแพทย์ 1 คน และพักใช้ใบประกอบแพทย์วิชาชีพเวชกรรม 2 คน เนื่องจากการให้ข้อมูลเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และข้อมูลหลักฐานที่ได้รับ ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า มีภาวะวิกฤตเกิดขึ้นกับผู้ป่วยรายดังกล่าว
นพ.ประพนธ์ กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่โปร่งใสในการให้ข้อมูลทางการแพทย์ และขุ่นเคืองต่อกระบวนการยุติธรรมเหลื่อมล้ำต่อการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังรายอื่น จึงเป็นเหตุให้คณะกรรมการทั้งสองคณะเห็นพ้องเพื่อพิจารณาศึกษาร่วมกันในครั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมาธิการสาธารณสุขฯ เล็งเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบบสาธารณสุขที่ประชาชนควรคาดหวังเชื่อมั่น
ด้านพล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว.ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการทางกฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า ได้พิจารณาแล้วว่าการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง อาจกระทบต่อหลักนิติธรรมและความเสมอภาค ความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจากมติดังกล่าว คณะกรรมการสองคณะจึงมีกำหนดให้ประชุมร่วมกันในวันนี้ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในประเด็นจริยธรรมทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ทำ เพื่อกำหนดแนวทางให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบราชทัณฑ์หน่วยบริการสุขภาพและองค์กรวิชาชีพมาให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและระบบโดยรวม เพื่อมีเป้าหมายให้จัดทำเสนอข้อเสนอในเชิงระบบ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเสนอต่อวุฒิสภา และส่งต่อไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเพื่อดำเนินการต่อไป
พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวต่อว่า ดังนั้นการที่บุคคลหนึ่งได้รับการปฏิบัติที่อาจแตกต่างจากผู้ต้องขังทั่วไป โดยอาศัยการรับรองทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยุติธรรมของประเทศที่อาจถูกบิดเบือน ขอย้ำว่าคณะกรรมาธิการสองคณะ มิได้มีเจตนาในการทำลายเกียรติของวิชาชีพแพทย์ แต่ธำรงไว้เพื่อความเป็นธรรมความ น่าเชื่อถือของระบบยุติธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สังคมไทยควรยึดมั่นร่วมกัน หากใช้ข้อมูลทางการแพทย์ที่คลาดเคลื่อนโดยไม่มีการถอดบทเรียน ย่อมเป็นอันตรายต่อนิติรัฐของประเทศ จึงเป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษาร่วมในครั้งนี้
“ยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซงสองหน่วยงาน ทั้งโรงพยาบาลตำรวจ และกรมราชทัณฑ์ เพียงแต่เป็นการศึกษาในแนวทางข้อกฎหมายว่าให้อำนาจกับกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจให้ทำสิ่งใดได้บ้าง หลังจากนั้นจะมานำเสนอให้กับประชาชนรับทราบ ซึ่งคาดว่าใช้เวลาศึกษาไม่เกินเดือนครึ่ง ทั้งนี้ สำหรับการศึกษาที่ผ่านมาของคณะกรรมาธิการฯ แต่ละชุด” พล.ต.ท.บุญจันทร์ ระบุ
พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวอีกว่า ในขณะนั้นติดขัดเรื่องเวชระเบียน แต่ในการศึกษาครั้งนี้ จะเริ่มต้นจากมติของแพทยสภา ซึ่งกระบวนการศึกษาจะแตกต่างกัน สามารถที่จะย้อนไปหาเหตุการณ์เบื้องต้นได้ เป็นการศึกษาเพื่อการพัฒนา หากมีโอกาสในการแก้ไขตรงไหน ก็จะเสนอวุฒิสภา ยืนยันว่าไม่มีการโจมตีทางการเมืองหลังเกิดเหตุการณ์เรียก สว.ที่ถูกกล่าวหาในคดีการฮั้วเลือก สว. ไปรับทราบข้อกล่าวหา
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี