วีโต้มติแพทยสภา
‘สมศักดิ์’ทำความเห็นแย้งบางส่วน
ปมลงโทษหมออุ้มแม้ว
แต่ไม่ได้สั่งให้ทบทวน
‘ชาญชัย-เสรีพิศุทธ์’รุก
ยื่นศาลมัดเทวดาชั้น14
“สมศักดิ์” วีโต้ มติแพทยสภา ในบางส่วนปมลงโทษแพทย์รักษาเทวดาทักษิณ แต่ไม่ได้สั่งให้ทบทวน รอวัดใจแพทยสภาว่าจะทำอย่างไร ด้าน“ชาญชัย” ส่งเอกสารเพิ่ม
ทักษิณนอนชั้น14 ให้ศาลฎีกาพิจารณาประกอบการไต่สวน “เสรีพิศุทธ์ “เชื่อ13มิถุนายน’ทักษิณ’ไม่มาศาลชัวร์
เมื่อวันที่ 29พ.ค.นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ภายหลังคณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษเพื่อพิจารณา ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ.2525 ได้มีการประชุมไป 3ครั้งและส่งสรุปความเห็นแต่ละคนให้กับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะ สภานายกพิเศษ เพื่อพิจารณาเมื่อวันที่ 27พ.ค.2568 นั้น ล่าสุด นายสมศักดิ์ได้มีการทำหนังสือส่งถึงแพทยสภาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 28พ.ค.เวลาประมาณ 16.00น.ซึ่งเนื้อหานั้น ตนไม่ทราบมากนัก แต่ทราบว่าเบื้องต้นว่า นายสมศักดิ์ ได้มีการส่งความเห็นกลับต่อมติของแพทยสภา ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนแพทย์จำนวน 4คน โดยมี 1คน ที่ถูกยกคำร้อง อีก 3คน ถูกลงโทษตักเตือน กับพักใช้ใบอนุญาต นายสมศักดิ์ก็ได้ให้ความเห็นกลับไปเป็นรายบุคคลเลย มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยกับมติแพทยสภา และมุมที่ให้แพทยสภาเอาไปพิจารณาด้วย อย่างเรื่องของกระบวนการก็ด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เป็นเชิงคำสั่งว่า จะต้องทบทวนอะไร เพราะตรงนั้นเป็นเรื่องที่บอร์ดแพทยสภาต้องไปพิจารณากันต่อ
รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา และนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย ในฐานะอนุกรรมการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ที่ลงโทษแพทย์ 3 คนกรณีชั้น14โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ขออธิบายสักเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวอยู่ช่วงนี้ แล้วทำให้คนเข้าใจผิดแพทยสภา แพทยสภาส่งเอกสารให้สภานายกพิเศษไม่ครบ คำตอบ ไม่จริง แพทยสภาได้ส่งเอกสารเกี่ยวกับมติแพทยสภาที่รวมขั้นตอนตั้งแต่ผู้ร้องทำการร้อง หลักฐานต่างๆ ที่รวบรวมมาได้ ความเห็นอนุกรรมการจริยธรรม ความเห็นอนุกรรมการสอบสวน ความเห็นอนุกรรมการกลั่นกรอง และความเห็นคณะกรรมการแพทยสภาเอง มีจำนวน 95 หน้า รวมทั้งยังให้เอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับคดี เช่น เวชระเบียน คำให้การ อีก 1500 กว่าหน้า ดังนั้นให้ข้อมูลไปครบแล้ว แต่ทีมที่แต่งตั้งโดยสภานายกพิเศษกลับขอรายชื่ออนุกรรมการกลั่นกรอง กับรายงานการประชุมของอนุกรรมการกลั่นกรอง เพิ่มเติม แพทยสภาจึงไม่ให้ เพราะไม่เกี่ยวกับส่วนของมติกรรมการแพทยสภา และไม่เข้าใจเหตุผลว่าต้องการไปเพื่ออะไร เพราะก็มีความเห็นของอนุกรรมการกลั่นกรองระบุในมติ 95 หน้าที่ส่งให้ไปแล้ว ทั้งนี้อนุกรรมการกลั่นกรอง ไม่มีอยู่ใน พรบ. วิชาชีพเวชกรรม แต่มีข้อบังคับแพทยสภาให้มีขึ้นมา เพื่อช่วยแพทยสภาในการตรวจสอบคดี ก่อนที่แพทยสภาจะมีมติ แต่สุดท้ายแพทยสภาก็เป็นผู้ชี้ขาดอยู่ดี แล้วเอาจริงๆ ถ้าคิดถึงเรื่องการมีมติลงโทษหรือไม่ลงโทษแพทย์ที่ถูกร้อง ควรเน้นที่ความเห็นของแพทยสภากับหลักฐานในคดีที่แพทยสภาใช้ประกอบความเห็นเท่านั้น เพราะแพทยสภาเป็นผู้ชี้ขาด ไม่ว่าอนุกรรมการไหนจะมีความเห็นอย่างไรก็ตาม ดังนั้นถ้าท้วงติงหรือขอข้อมูลเพิ่มเติม ควรดูถึงหรือขอหลักฐานที่แพทยสภาใช้ในการตัดสิน มากกว่ามาบอกว่า แพทยสภาส่งเอกสารไม่ครบ
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.ราชดำเนินใน นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ,นายสมชาย แสวงการ อดีตสว. ,นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ,นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา นายภิมะ สิทธิ์ประเสริฐ เดินทางมายื่นคำร้องเพื่อขอส่งมอบพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงต่างๆ กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ขณะถูกคุมขัง อันเป็นคำร้อง ตามที่ศาลฎีกาฯมีคำสั่งรับไว้ไต่สวนหาความจริงเองในวันที่ 13 มิถุนายนนี้
ภายหลังนายชาญชัยกล่าวว่า วันนี้มาศาลฎีกาฯเกี่ยวกับการยื่นเรื่องคำร้องไต่สวนว่ามีการปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาฯหรือไม่ศาล แม้ศาลจะได้ยกคำร้องในส่วนของตนแต่ศาลได้เรียกหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาไต่สวนและให้ทุกฝ่ายทำคำชี้แจง
ทั้งนี้ตนไม่ได้รับหมายให้ส่งคำชี้แจงเพิ่ม แต่มีเอกสารที่เตรียมไว้จึงอยากจะนำมาเสนอศาลเพื่อนำไปพิจารณาประกอบการไต่สวน ประกอบด้วยคำร้องของนายสมชาย แสวงการ ประธานสอบเรื่องนี้ คำร้องของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ที่ร้อง ป.ป.ช. จึงขอให้ศาลได้ออกหมายเรียกพยานบุคคลและพยานเอกสารมาไต่สวน ซึ่งเป็นอำนาจของศาลในการเรียกไต่สวน ที่ตนมายื่นคำร้องครั้งนี้เนื่องจากมีข้อกฎหมายรองรับตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ข้อ 62 ผู้ใดบุคคลภายนอกรู้ว่าศาลฎีกาฯมีโทษจำคุกใครถึงที่สุดแล้วยังไม่ได้จำคุกจริงสามารถร้องต่อศาลได้ ซึ่งศาลสามารถตั้งองค์คณะขึ้นไต่สวน เพราะฉะนั้นประชาชนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลได้ การยื่นครั้งนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองและเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ถูกทำลายและมีกระบวนการที่ไปช่วยนายทักษิณมีอำนาจรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องและทำลายระบบความน่าเชื่อถือ กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมทั่วไป ตนและคณะจึงทำหน้าที่ในส่วนนี้ให้จบสมบูรณ์ ซึ่งตนมีเอกสารที่ชี้ชัดว่านายทักษิณไปนอนที่รพ.ตำรวจนาน181 วัน และที่ชัดเจนคือ นายทักษิณไม่ได้ป่วยจริง เพราะตามปกติหากเราไปโรงพยาบาลแล้วจะมีใบเสร็จรับเงินที่จะบ่งบอกว่าเราไปตรวจโรคอะไรใบเสร็จนี้ตนพูดตามหลักฐานข้อเท็จจริงที่ส่งให้ศาล
ด้านนายสมชายกล่าวว่า วันนี้เรามายื่นพยานเอกสาร ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ที่กำหนดว่า หากรู้ว่าพบผู้ต้องคำพิพากษาแต่ไม่ได้รับโทษสามารถมาแจ้งต่อศาลได้ และนำเรื่องจากคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ ที่มีการนำข้อมูลจากแพทย์รพ.ตำรวจ ผู้บัญชาการเรือนจำ สมาชิกวุฒิสภามาให้ข้อมูลทั้งหมด 12 ครั้งตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนถึงมีนาคม มายื่นเป็นข้อมูลต่อศาลฎีกาฯ ข้อมูลทั้งหมดเป็นเอกสารจำนวน 222 แผ่น และส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือนายทักษิณ ตลอดระยะเวลา 181 วันที่นายทักษิณได้รับการรักษาตัวที่รพ.ตำรวจมีข้อพิรุธเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งเราไม่สามารถรู้ว่านายทักษิณป่วยเป็นโรคอะไรและไม่สามารถเรียกเอกสารเวชระเบียนการรักษาตัวนายทักษิณได้ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกมาตรวจสอบเวชระเบียนใบเสร็จการรักษาตัวและกล้องวงจรปิดในรพ.ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณมาทำการตรวจสอบ
ส่วน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าวถึง การเดินทางมาร่วมยื่นพยานหลักฐานครั้งนี้ด้วยเนื่องจากต้องการทำความจริงให้ปรากฏ ตนไม่อยากให้นายทักษิณทำให้ประเทศชาติวุ่นวายไปมากกว่านี้ เชื่อว่าหากปล่อยให้นายทักษิณสร้างความวุ่นวายในบ้านเมืองต่อไปบ้านเมืองของเราจะมีปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน จึงต้องการทำความจริงให้ปรากฏต่อสังคม และเชื่อว่าในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ที่ศาลนัดไต่สวนนายทักษิณจะไม่มาศาลอย่างแน่นอน แต่เชื่อว่านายทักษิณไม่น่าจะหนี เพราะจะส่งผลกระทบต่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลูกสาวของตัวเอง
นพ.ตุลย์กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการอ้างว่า ได้ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวด้วยอาการป่วยวิกฤตที่รพ.ตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ฯ มาตรา 55 โดยมีการหักวันขัง แต่นายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤตตามที่อ้างไว้ ถ้าเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องเมื่อรักษาตัวเสร็จแล้วจะต้องกลับเข้าไปรักษาตัวต่อที่ รพ.ราชทัณฑ์ แต่ปรากฏว่านายทักษิณอยู่ที่รพ.ตำรวจนานถึง 181 วัน และมีข้อพิรุธหลายอย่างระหว่างที่นายทักษิณนอนอยู่ที่รพ.ตำรวจ เนื่องจากนักโทษที่จะได้รับสิทธิ์พักโทษนั้นจะต้องเป็นนักโทษชั้นดี แต่ในกรณีนายทักษิณเป็นแค่นักโทษชั้นกลางเท่านั้น ซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 52 แล้วยังปรากฏข้อเท็จจริงต่อสังคมจากการที่รมว.ยุติธรรมไปตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎรภายหลังระยะเวลา 4 วันหลังจากที่นายทักษิณได้รับการปล่อยตัว ว่านายทักษิณมีระดับการป่วยไม่ต่ำกว่าระดับ 11 จากสภาพร่างกายนายทักษิณ ซึ่งยังดูแข็งแรงไม่ได้เป็นผู้ป่วยติดเตียง การที่นายทักษิณได้รับการพักโทษหลัง 181 วันนั้นน่าจะเป็นโมฆะเนื่องจากนายทักษิณไม่ได้มีอาการป่วยวิกฤตติดเตียงแต่อย่างใด
นายนิติธรกล่าวว่า คำร้องที่ได้ยื่นต่อศาลวันนี้จำนวน 4 คำร้อง ประกอบไปด้วยคำร้องของนายชาญชัยเป็นภาพรวมทั้งหมดของคดี ที่สามารถอธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นรวมถึงแสดงไทม์ไลน์ตั้งแต่นายทักษิณลงเครื่องบิน เดินทางไปยังเรือนจำและเข้ารักษาตัวที่รพ.ตำรวจ ในส่วนของนายสมชายเป็นเอกสารรวบรวมรายงานต่างๆของทุกหน่วยงาน และการเรียกเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ข้อมูล รวมถึงตัวอย่างใบเสร็จการรักษาพยาบาลและเวชระเบียน ซึ่งสามารถเชื่อมโยงกระบวนการรักษาที่แสดงให้เห็นถึงสภาพร่างกายของนายทักษิณ ส่วนคำร้องของนพ.ตุลย์เป็นรายละเอียดของเรื่องการพักโทษ และคำร้องของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นคำร้องเกี่ยวกับประจักษ์พยานในการรักษาตัวของนายทักษิณซึ่งพยานหลักฐานทั้งหมดมีความสำคัญอย่างมากในการไต่สวนครั้งนี้
ภายหลังเจ้าหน้าที่รับคำร้อง และเอกสาร ต่างๆของผู้ร้องแล้วได้เตรียมเสนอต่อศาลฎีกาฯพิจารณาเพื่อมีคำสั่งต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี