'สุดารัตน์'อัดรัฐบาล จัดงบฯ 69 แบบ'ขาดวิสัยทัศน์' ลดงบลงทุน อีก7.3% ซ้ำเติมเศรษฐกิจ หนี้สาธารณะแตะ 13 ล้านล้าน จ่อทะลุเพดาน เตือนใช้งบกลางอย่างโปร่งใส โดยเฉพาะงบ 1.57 แสนล้าน ที่ถูกโยกมาจากโครงการแจกเงินหมื่น เตือนอย่าให้กลายเป็นงบที่โกงแบบ Fast track วอนนายกฯ ต้องเอาจริงกับการสร้างการเมืองสุจริต
เมื่อวันที่ 30 พ.ค.2568 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย แสดงความกังวลต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ของรัฐบาล ที่แม้จะตั้งวงเงินสูงถึง 3.78 ล้านล้านบาท แต่กลับลด งบลงทุนลงถึง 7.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ทั้งที่ปีนี้ควรเป็นปีแห่ง “การฟื้นฟูเศรษฐกิจ” อย่างจริงจังหลังผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้าของประเทศมหาอำนาจ
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า การลดงบลงทุนในช่วงเวลาที่ประเทศต้องการการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจ พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นการบริหารงบประมาณที่ "ขาดวิสัยทัศน์" และเสี่ยงซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจถดถอยในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ราคาน้ำมันผันผวน และความท้าทายทางเทคโนโลยี
คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า การลงทุนภาครัฐควรเป็นหัวใจหลักของการฟื้นเศรษฐกิจ เพราะเป็นการสร้างการจ้างงาน กระจายรายได้ และยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ การลดงบในส่วนนี้สะท้อนถึงการขาดแผนระยะยาวและการตัดสินใจที่มองแค่ระยะสั้น รัฐบาลยังคงจัดสรรงบกลางสูงถึง 632,000 ล้านบาท ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของนายกแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องผ่านสภาอีก ซึ่งกังวลว่าการใช้งบในลักษณะนี้ ที่ผ่านมาเป็นเสมือน “งบเงินทอน“ แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เข้ากระเป๋าเฉพาะผู้มีอำนาจ โดยไม่สามารถนำมาแก้ไขปัญหา และทำให้ประชาชนมีกินมีใช้ได้จริง
ดังนั้นขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ใช้งบประมาณมหาศาลนี้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ระมัดระวังและคิดอย่างรอบคอบยิ่งกว่าการใช้เงินในกระเป๋าของตัวเอง พร้อมทั้งเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมกันตรวจสอบได้ เช่น กรณีรัฐบาลยกเลิกแจกเงินหมื่น แล้วโยกงบ 157,000 ล้านบาทไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้เวลาเสนอแผนงานเพียง 3 วัน ซึ่งไม่เพียงพอและเสี่ยงต่อการทุจริตและการแบ่งผลประโยชน์ แบบ (Fast Track) ขณะเดียวกันโครงการอาจซ้ำซาก ตรวจสอบยาก ทั้งการสร้างถนน สร้างตึก จัดอบรมสัมมนา ขุดลอกคลอง ซึ่งองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น หรือ ACT ระบุว่าอาจมีการเรียกรับเงินใต้โต๊ะสูงถึง 30% หากเอกชนต้องการรับงานจากรัฐ
หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ยังชี้ว่า การใช้งบประมาณที่ไม่มีทิศทาง และยังคงให้น้ำหนักกับงบด้านความมั่นคง มากกว่างบพัฒนาด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ อาจทำให้ประเทศไทยหลุดจากโอกาสในการยกระดับความสามารถในการแข่งขันบนเวทีโลก และพลาดโอกาสในการเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตใหม่ ที่อาจเกิดขึ้น ในด้านรายได้ รัฐบาลคาดว่าจะจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.88 ล้านล้านบาท ทำให้ต้องกู้เงินเพิ่มอีก 865,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ส่งผลให้หนี้สาธารณะของประเทศจ่อทะลุ 13 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 69% ของ GDP ซึ่งเข้าใกล้เพดานหนี้สาธารณะที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 70% อย่างน่าเป็นห่วง
คุณหญิงสุดารัตน์ จึงเสนอให้รัฐบาลเร่ง เปลี่ยนแนวคิดการจัดงบประมาณใหม่ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และกล้าลงทุนในสิ่งที่ตอบโจทย์ การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน พร้อมเสนอ 3 แนวนโยบายที่พรรคไทยสร้างไทยพร้อมให้รัฐบาลนำไปใช้ ดังนี้
1. ผลักดันโครงการ กองทุนเครดิตประชาชน ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยผู้มีหนี้นอกระบบให้กลับเข้าระบบการเงินปกติ
2. เพิ่มงบรีสกิล-อัพสกิลแรงงาน ทุกกลุ่ม ให้พร้อมรับเศรษฐกิจยุคใหม่ และความต้องการแรงงานทักษะสูง
3. การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภาคเกษตรและอุตสาหกรรม เพื่อสร้างความยั่งยืนระยะยาว
คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า ประเทศไทยไม่ได้ขาดงบประมาณ แต่ขาดแผน ขาดวิสัยทัศน์ของผู้นำ และที่สำคัญที่สุดคือ ขาดหัวใจที่มองเห็นความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนร่างงบประมาณประจำปี 2569 อย่างรอบคอบ ก่อนประเทศจะเข้าสู่กับดักหนี้และความล้มเหลวทางเศรษฐกิจในระยะยาว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี