วันพฤหัสบดี ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
จากมิตรภาพ 50 ปี สู่จุดแตกหัก! ‘เสรีพิศุทธ์’เผยเหตุเปิดหน้าชน‘ทักษิณ’ เชื่อ 13 มิถุนานี้ไม่ไปศาลแน่

จากมิตรภาพ 50 ปี สู่จุดแตกหัก! ‘เสรีพิศุทธ์’เผยเหตุเปิดหน้าชน‘ทักษิณ’ เชื่อ 13 มิถุนานี้ไม่ไปศาลแน่

วันอังคาร ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 15.58 น.
Tag : เสรีพิศุทธ์ ทักษิณ เสรีรวมไทย สีสันการเมืองแบบเด้งเด้ง แนวหน้าออนไลน์
  •  

จากมิตรภาพ50ปีสู่จุดแตกหัก! ‘เสรีพิศุทธ์’เผยเหตุเปิดหน้าชน‘ทักษิณ’เชื่อ13มิถุนานี้ไม่ไปศาลแน่

วันที่ 3 มิถุนายน 2568 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์กับรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ในประเด็นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนวันที่ 13 มิ.ย. 2568 กรณีการส่งตัว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่กำลังต้องโทษจำคุก 1 ปี ออกจากเรือนจำไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ทำโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ว่า ตนถามนายทักษิณที่เป็นรุ่นน้องของตนว่ายังสบายดีอยู่หรือไม่ เพราะใกล้จะถึงวันที่ 13 มิ.ย. 2568 แล้ว จะมาศาลหรือไม่ หรือจะไปอยู่ที่ไหน


แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่าในวันดังกล่าวนายทักษิณจะไม่ไปศาล เพราะจากประสบการณ์ของตนที่ผ่านงานมามาก การที่ศาลใช้คำว่า “นัดพร้อมหรือไต่สวน” คำว่าไต่สวนก็คือศาลให้ทุกฝ่ายรวมถึงนายทักษิณส่งคำชี้แจงภายในวันที่ 30 พ.ค. 2568 อย่างการไต่สวน ศาลรู้ข้อเท็จจริงอยู่แล้วว่าทั้งหลายทั้งปวงที่ออกหมายจำคุกนายทักษิณไป 1 ปี ไม่ได้มีการมาขออนุญาตศาล ซึ่งจริงๆ ศาลจะสั่งก็ได้ แต่เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ชี้แจงมา และหากมีเหตุผลอย่างอื่น เพื่อให้ชัดเจนศาลก็จะนัดไต่สวนเพิ่ม

ทั้งนี้ ศาลฎีกาย่อมรู้อยู่แล้วว่าไม่มีการขออนุญาต ก็สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และประธานศาลฎีกาได้ออกข้อบังคับไว้ ในข้อ 61 ระบุว่า การบังคับคดีอาญาให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในส่วนที่เกี่ยวข้องคือ ม.246 ว่าด้วยการทุเลาการบังคับคดี ที่กำหนดลักษณะเข้าข่ายไว้ 4 ข้อ คือ 1.เมื่อจำเลยวิกลจริต 2.เมื่อเกรงว่าจำเลยจะถึงอันตรายแก่ชีวิตถ้าต้องจำคุก 3.ถ้าจำเลยมีครรภ์ และ4.ถ้าจำเลยคลอดบุตรแล้วยังไม่ถึงสามปีและจำเลยต้องเลี้ยงดูบุตรนั้น 

ในกรณีของนายทักษิณไม่เกี่ยวข้องกับการวิกลจริต ตั้งครรภ์หรือคลอดบุตร แต่เรื่องการเจ็บป่วยเป็นอันตรายถึงชีวิต หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ขออนุญาต แต่นี่เป็นหรือไม่เป็นแต่ไม่ได้ขออนุญาต เมื่อศาลรู้และให้ชีวิตจนถึงวันที่ 30 พ.ค. 2568 ซึ่งหมดเวลาไปแล้ว และหลังจากนั้นเป็นต้นมาศาลก็จะมีเวลาพิจารณา และเมื่อคดีถึงที่สุด ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา 3 คน มีอำนาจออกหมายหรือคำสั่งใดๆ ตามที่เห็นควรเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา 

“ถ้าไม่มีพยานหลักฐานใดที่รายงานเข้ามาว่ามีการขออนุญาตศาล ศาลก็ถือว่ายังไม่มีการบังคับคดี ศาลก็สั่งได้เลยให้จำคุกคุณทักษิณ 1 ปี ฉะนั้นตอนนี้คุณทักษิณที่บอกต้องกำลังพิจารณาจะมาหรือไม่มา ไม่มาหรอก เพราะถ้ามาแล้วถ้าศาลสั่งจำคุกเลยคุณทักษิณไปไหนไม่ได้แล้ว ถูกล็อกตัวเข้าคุกไปเลย” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนที่ฝ่ายกฎหมายของนายทักษิณรวมถึงนักกฎหมายบางส่วน มองว่าศาลไม่สามารถมีคำสั่งซ้อนได้ ประเด็นนี้ต้องเข้าใจว่าศาลสั่งจำคุกแต่เมื่อยังไม่ถูกจำคุกศาลก็มีอำนาจบังคับคดี ออกคำสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา คือคำพิพากษาเดิมมีอยู่แล้วแต่นายทักษิณยังไม่ได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษา ศาลจึงสามารถมีคำสั่งได้ ตนยังคิดถึงคดีอื่นๆ ที่มีนักการเมืองถูกจำคุก 30 – 40 ปี แต่จำคุกจริง 4 – 5 ปี แล้วช่วยกันปล่อยตัวออกมาจะเข้าข่ายนี้หรือไม่ ควรจะพิจารณาว่าไม่มีการบังคับคดีตามคำพิพากษา

ดังนั้นตนเชื่อว่านายทักษิณจะไม่ไปศาล แต่หากไม่ไปก็จะถูกออกหมายจับ ส่วนคำถามว่านายทักษิณจะหนีหรือไม่ หากดูเรื่องเดิม นายทักษิณต้องโทษจำคุกก็หนีไปอยู่ต่างประเทศถึง 17 ปี อีกทั้งยังเคยพูดกับตนว่าอย่างไรก็ไม่ยอมถูกจำคุก ก็จะต้องใช้ทุกวิถีทาง เช่น ขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งหากเป็นตนคงทำไม่ได้ แต่นายทักษิณทำได้และทำไปแล้ว เพียงแต่ไม่หมด โดยคำพิพากษาของศาลให้จำคุก 8 ปี แต่พระบรมราชโองการให้ลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ซึ่งผิดเป้าหมายที่นายทักษิณคงตั้งใจขอลดทั้งหมด 

แต่การเหลือโทษจำคุก 1 ปี หากเป็นตนจะก้มกราบแล้วจะประพฤติตนเป็นคนดีต่อไป แต่ทีนี้ 1 ปีก็ยังไม่ยอม มีการใช้เล่ห์เหลี่ยมดำเนินการต่างๆ อย่างที่เห็น มีการแต่งตั้งคนไปเตรียมไว้แล้ว อย่างนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีการแก้ไขกฎต่างๆ เพื่อเอื้อต่อนายทักษิณ รวมถึงจะไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ด้วย จนมาถึงรัฐบาลปัจจุบันก็ให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง มาเป็น รมว.ยุติธรรม แล้วให้นายสมศักดิ์ไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และไม่ใช่เฉพาะ 2 ตำแหน่งนี้ แต่เป็นทุกตำแหน่งแม้แต่ข้าราชการประจำ

ส่วนคำถามที่ว่า เพราะพรรคเสรีรวมไทยในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดได้ที่นั่งในสภามาเพียง 1 เสียง ทำให้นายทักษิณไม่สนใจทั้งที่มีความสัมพันธ์กันมานานถึง 50 ปี จึงกลายเป็นความขัดแย้งกับนายทักษิณหรือไม่ เรื่องนี้มีหลายปัจจัย โดยตลอด 50 ปี ตนที่เป็นพี่มีส่วนช่วยเหลือนายทักษิณมากกว่า แต่นายทักษิณเป็นฝ่ายเอาเปรียบตน อย่างตอนที่นายทักษิณเป็นนายกฯ ตนเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ เป็นผู้บังคับบัญชาของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ตนก็ถูกกดไม่ให้ขึ้น ซึ่งตนเป็นผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจถึง 6 ปี พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นปีเดียวก็กระโดดข้ามหัวตนไปเลย

นั่นเพราะนายทักษิณคิดแต่เรื่องตระกูลของเขา แต่ตนก็เป็นนักสู้จึงต้องฟ้อง ทำให้มีการส่งนายตำรวจรุ่นเดียวกับนายทักษิณมาเจรจา บอกว่าไหนๆ ตนก็อายุมากกว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ก็จะให้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก่อน แต่ขอให้ถอนฟ้อง ตนก็เชื่อจึงถอน กระทั่งมีการยึดอำนาจรัฐบาลนายทักษิณเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 นายทักษิณอยู่ต่างประเทศ รัฐบาลขณะนั้นที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกฯ จึงแต่งตั้งตนเป็น ผบ.ตร. แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอะไร ตนเข้าใจสถานการณ์ เมื่อเขาไม่มีโอกาสตั้งก็ไม่ได้ตั้ง

ซึ่งในช่วงที่ตนเป็น ผบ.ตร. ก็มีการขอตำแหน่งให้พรรคพวกและคนในครอบครัวของนายทักษิณ ตนก็เป็นคนผลิตตำแหน่งเก่ง คิดบริหารงาน มีตำแหน่งเกิดขึ้นเยอะเลย เช่น แยกงานป้องกันกับปราบปรามออกจากกันในสถานีตำรวจ มีตำแหน่งสารวัตรปกครองป้องกัน และตำแหน่งสารวัตรสืบสวนปราบปราม ก็ทำให้มีตำแหน่งสารวัตรเพิ่มมาถึง 3,000 ตำแหน่ง และยังมีตำแหน่งอื่นๆ อีกทั่วประเทศ ก็มีการมาขอ ซึ่งหากคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ก็ให้ แต่ไม่มีคิดเรื่องเอาตำแหน่งไว้หาผลประโยชน์อย่างที่คนอื่นทำกัน 

หรือแม้แต่ในช่วงที่นายทักษิณหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ ตนยังเดินทางไปเยี่ยม และนั่นทำให้ตนสามารถขึ้นไปเยี่ยมนายทักษิณบนชั้น 14 รพ.ตำรวจได้ คือรักและเข้าใจกันพอสมควร แต่สิ่งที่ปรากฏเป็นเหตุคือตนช่วยนายทักษิณมาตลอด อย่างสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มีการเสนอทั้งเงินและตำแหน่งรองนายกฯ ให้ตนไปร่วมรัฐบาล เพราะเวลานั้นพรรคเสรีรวมไทยมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) 10 เสียง ตนก็ปฏิเสธเพราะมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจมา แต่ตนเป็นคนมีหลักการ ยึดอำนาจแล้วมาให้ตำแหน่งตนก็ไม่เอา ยอมอยู่ร่วมกับฝ่ายค้าน

และในช่วงเป็นฝ่ายค้าน ตนเป็นประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ปราบทุจริต มีเรื่องของ สส. เข้ามาจำนวนมาก ตนก็ช่วยทางพรรคเพื่อไทย จนมาถึงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ในช่วงที่พรรคก้าวไกลกำลังจัดตั้งรัฐบาล ทั้งที่ไม่รู้จักกัน แต่คนในพรรคก้าวไกลก็ยังมองเห็นคุณค่าของตน จะให้เป็นรองนายกฯ แต่เพราะพรรคก้าวไกลไปต่อไม่ได้ พรรคเพื่อไทยจึงได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาลบ้าง และตนก็ยังไปช่วยเจรจาให้อีกจนจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่คราวนี้ไม่มีชื่อตนอยู่ด้วย

ซึ่งนายทักษิณพูดตลอดเวลาที่ตนไปเยี่ยม บอกว่านายทักษิณเป็นหนี้ตน แต่เมื่อไม่ตั้งก็เข้าใจ เพราะตนเข้าใจสถานการณ์เวลานั้น เมื่อรวมกับพรรคก้าวไกลไม่ได้ ต้องไปไปดึงพรรคพลังประชารัฐ ดึงพรรครวมไทยสร้างชาติมา ดังนั้นไม่ตั้งก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกฯ ไป ต้องตั้งรัฐบาลกันใหม่อีกครั้ง อำนาจก็อยู่ที่นายทักษิณใช่หรือไม่ แล้วจะพูดทำไมเรื่องเป็นหนี้แล้วจะชดใช้ นี่ก็เป็นจุดหนึ่ง เอาแต่ผลประโยชน์ ถึงเวลาก็ไม่มองคนอื่นเลย ตอนนี้ลองมี 10 – 20 เสียง แต่เผอิญประชาชนให้มาแค่เสียงเดียว ถูกดูดไปหมด

โดยตอนที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกฯ แล้วกำลังจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตนก็ทำหนังสือถึงนายกฯ ซึ่งหากไปถึงนายทักษิณย่อมต้องรู้ด้วย หากนายทักษิณยังสนใจก็คงจะมีโทรศัพท์กลับมาคุยกัน แต่เมื่อไม่มีคำตอบ ผ่านไป 2 วัน จึงตัดสินใจแถลงข่าวประกาศนำพรรคเสรีรวมไทยออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนอีกสาเหตุคือตอนที่นายทักษิณไปปาฐกถาในงานที่จัดโดยสำนักข่าวเนชั่น ได้พูดถึงการแบ่งผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยกับ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตนก็มองว่าทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ไม่ใช่เพื่อประเทศชาติและประชาชน  

“พูดตรงนั้นไปได้อย่างไร ถ้าเป็นสมบัติของตระกูลชินวัตรจะพูดอย่างไรก็พูดไป แต่นี่มันเป็นของประเทศชาติ มาพูดจะแบ่งกับฮุน เซนคนละครึ่ง แล้วเป็นไง? ตอนนี้ครอบครัวญาติพี่น้องก็ไปเป็นเครือญาติกันแล้ว ก็เลยมองคิดว่าที่เขาทำมาทั้งหมด เช่นที่กลับมาประเทศไทย ได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว จะซื่อสัตย์จะรับใช้อะไรต่างๆ แต่ปรากฏว่าออกไปหาเสียงนายก อบจ. ทั่วประเทศทั้งหมด ทำไปทำไม? ทั้งที่จริงๆ มันผิดกฎหมาย” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ระบุ

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า ผู้ช่วยหาเสียงคือเด็กติดป้ายโฆษณาหาเสียง ไม่ใช่คนอย่างนายทักษิณ หรือผู้ช่วยหาเสียง สส. คือเขตประเทศ แต่นั่นเป็นเขตจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ไหนก็จังหวัดนั้น แต่การที่นายทักษิณลงไปก็เพื่อให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นนายก อบจ. ทั่วประเทศ หวังผลไปถึง สส. ในวันข้างหน้า หรือที่ปัจจุบันมีข่าวจะปรับเปลี่ยนรัฐบาล จะยึดกระทรวงสำคัญต่างๆ ตนถามว่าในวันที่ตั้งรัฐบาลยังง่อนแง่นจึงยอมยกให้พรรคอื่น แต่เมื่อยืนอยู่ได้ก็จะแย่งกลับมา ไม่คิดหรือว่าเป็นเพื่อนกัน พอยืนได้แล้วจะยึดแบบนี้คบกันได้หรือ

อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าเมื่อนายทักษิณได้ยินชื่อของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แล้วดูเหมือนจะออกอาการโกรธมาก ตนมองว่าเพราะนายทักษิณไปอยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ โดยไม่เจ็บป่วย แล้วไม่มีใครเปิดเผย จนกระทั่งตนออกมาเปิดเผยเพราะทนไม่ได้ที่นายทักษิณจะใช้วิธีแบบฮุน เซนในการยึดประเทศ ตนเห็นประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์สำคัญกว่านายทักษิณ แม้จะเคยรู้จักกันมา แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลิกคบกัน 

“อย่างคำพูดก่อนนี้คือตำรวจไม่มีพลตำรวจเอกหญิงนะ มาคราวนี้หนูรี เพื่อด้อยค่าเรา แต่เราไม่โกรธ ก็ถือว่าเขาเครียดเต็มทีแล้ว ไม่มีทางออกไม่มีทางไป ไม่มีปัญหา ก็ดูว่าวันที่ 13 เขาจะไปสแตนด์บายอยู่ที่ไหน? หรือจะออกนอกประเทศ?” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • \'อ.จุฬาฯ\'เตือนหยุดคลั่งชาติ ชื่นชม\'กัมพูชา\'ฉลาดใช้\'การทูต\' 'อ.จุฬาฯ'เตือนหยุดคลั่งชาติ ชื่นชม'กัมพูชา'ฉลาดใช้'การทูต'
  • \'เทพไท\' ซัด \'อุ๊งอิ๊งค์\' ขาดวุฒิภาวะทุกด้าน ไร้ความรู้รอบตัว การเมืองต้องพึ่ง\'ทักษิณ\' 'เทพไท' ซัด 'อุ๊งอิ๊งค์' ขาดวุฒิภาวะทุกด้าน ไร้ความรู้รอบตัว การเมืองต้องพึ่ง'ทักษิณ'
  • \'เต้น\'มาแล้ว 50 ปี \'ทักษิณ-อิ๊งค์\'ร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิด 'เต้น'มาแล้ว 50 ปี 'ทักษิณ-อิ๊งค์'ร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิด
  • ‘สมชัย’สวด‘อิ๊งค์’ ชี้พยักเพยิด-หัวเราะ ไม่ให้เกียรติ‘สื่อ’ ‘สมชัย’สวด‘อิ๊งค์’ ชี้พยักเพยิด-หัวเราะ ไม่ให้เกียรติ‘สื่อ’
  • \'นายกฯอิ๊งค์\'ย้ำ! รัฐบาลยืนยันหลักอธิปไตย-ประโยชน์สูงสุดของชาติ 'นายกฯอิ๊งค์'ย้ำ! รัฐบาลยืนยันหลักอธิปไตย-ประโยชน์สูงสุดของชาติ
  • \'โฆษกกล้าธรรม\'ย้ำ!อธิปไตยไทยไม่มีวันต่อรอง วอนทุกฝ่ายหยุดยั่วยุ 'โฆษกกล้าธรรม'ย้ำ!อธิปไตยไทยไม่มีวันต่อรอง วอนทุกฝ่ายหยุดยั่วยุ
  •  

Breaking News

กทม. จับมือ ซีพี แอ๊กซ์ตร้า ร่วมเปลี่ยนเมือง หนุน ‘ไม่เทรวม’ ลดขยะอาหาร

เปิดจุดเริ่มต้นความรักของ ‘ดีเจแมน-ใบเตย’ มรสุมชีวิตคิดหนัก ทำไมไม่ให้ตายไปเลย

ยิปซีพยากรณ์'ดวงรายวัน'ประจำวันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ.2568

มองเกมปรับ ครม. หากเพื่อไทยยึด มท. ชี้ เดิมพันสูง อาจเจอทางตัน

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นางสาวอัญชะลี ไพรีรัก
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นที่เกียวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2017 Naewna.com All right reserved