นักวิชาการ มธ.แนะรัฐปรับการสื่อสารใหม่ ชี้บรรยากาศ"ไทย-กัมพูชา"เข้าข่ายวิกฤตแล้ว แต่ยังให้ข่าวช้า-ไร้เอกภาพ-ขัดแย้งกันเอง
นักวิชาการธรรมศาสตร์ชี้สถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลต้องยกระดับการสื่อสารเป็น“การสื่อสารในภาวะวิกฤต”ได้แล้ว แนะกำหนดผู้ที่จะทำหน้าที่“พูดในนามรัฐบาล”ให้ชัด ป้องกันความสับสน-ข้อมูลไร้ทิศทาง ระบุที่ผ่านมายังสื่อสารช้าเกินไป-ส่งผลให้ประชาชนไม่เชื่อมั่น เสี่ยงต่อการเกิด Fake news และท้ายที่สุดจะถูกขยายผลกลายเป็นปัญหาการเมืองภายใน จี้เร่งแสดงท่าทีต่อแถลงการณ์กัมพูชาไม่ร่วม JBC
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ดร.ปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ล่าสุดทางการกัมพูชาได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย.2568 พร้อมเดินหน้ายื่นเรื่องพิพาทสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ซึ่งท่าทีดังกล่าวจะทำให้ความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศ ทั้งระดับรัฐบาลและประชาชน เพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้น โดยส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ขณะนี้เข้าสู่บรรยากาศหรือสิ่งที่เรียกว่าภาวะวิกฤตแล้ว
ดังนั้น รัฐบาลควรปรับวิธีการสื่อสารภายในประเทศ ทั้งการสื่อสารกับประชาชน รวมถึงการสื่อสารกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยต้องยกระดับให้เป็นการสื่อสารในภาวะวิกฤต เพื่อป้องกันความสับสนของข้อมูล และตอบสนองต่อสถานการณ์และประเด็นข่าวได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งจะช่วยให้บริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะความรวดเร็วและความชัดเจนในการสื่อสารจะสัมพันธ์กับความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีให้ผู้นำและรัฐบาล หากล่าช้าจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะขาดความเชื่อมั่นที่ประชาชนจะมีต่อรัฐบาล และสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการนำประเด็นระหว่างประเทศมาขยายปมความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมไม่เป็นผลดีกับใคร
ดร.ปุรวิชญ์ กล่าวว่า เพื่อลดความสับสนของข้อมูลและทำให้การสื่อสารมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น รัฐบาลควรกำหนดบุคคลให้แน่ชัดเลยว่า ใครคือคนหลักหรือผู้ที่จะทำหน้าที่สื่อสารในนามรัฐบาล อาจจะเป็นตัวของนายกรัฐมนตรีเองหรือใครก็ได้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้ ในสถานการณ์ภาวะวิกฤตไม่ควรปล่อยให้มีการให้ข่าวที่กระจัดกระจายไร้ทิศทาง
“อย่างกรณีที่สื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ รมว.การต่างประเทศ กลับได้รับคำตอบคนละมุมกับการไปสัมภาษณ์รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ดังนั้นต้องกำหนดให้ชัดว่าใครจะเป็นคนพูด และที่สำคัญคือต้องสื่อสารออกมาด้วยความรวดเร็ว ทันท่วงที และชัดเจน เช่น การที่กัมพูชาประกาศยกเลิกประชุม JBC รัฐบาลควรมีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการออกมา” ดร.ปุรวิชญ์ กล่าว
นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีความล่าช้าและขาดความชัดเจนในการสื่อสารอย่างมาก ยกตัวอย่างแถลงการณ์ที่รัฐบาลเพิ่งเผยแพร่ออกมา ซึ่งในเชิงหลักการที่ควรจะเป็นแล้ว รัฐบาลต้องสื่อสารออกมาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีสถานการณ์จะช่วยป้องกันไม่ให้ความรู้สึกของประชาชนเลยเถิดจนยากที่จะควบคุม ดังนั้นการสื่อสารในภาวะวิกฤตนี้ หากล่าช้าไปเพียงนาทีเดียวก็จะเกิดความสับสน มากไปกว่านั้นอาจทำให้เกิดความความเข้าใจผิด และมีการนำความเข้าใจผิดเหล่านั้นเผยแพร่ออกไปทางโซเชียลมีเดียต่างๆ จนนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อรัฐบาล ซึ่งแทนที่รัฐบาลจะต้องรับภารกิจในการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศอย่างเดียว ก็จะยิ่งเพิ่มมิติความซับซ้อนให้รัฐบาลกลับต้องมาแก้ไขปัญหาทางการเมืองภายในประเทศด้วย
“เหตุการณ์ที่นายกรัฐมนตรีให้แถลงข่าวเมื่อวาน จริงๆ แล้วเป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่งที่จะสื่อสารและสร้างความกระจ่างแจ้งให้กับประชาชนในมิติต่างๆ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีทหารกัมพูชาเริ่มรุกคืบเข้ามาในพื้นที่ชายแดนไทย 200 เมตร นายกฯ ก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการอธิบาย นี่จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ ที่ประเด็นเหล่านี้หล่นหายไป และพื้นที่สื่อถูกกลบไปด้วยท่าทีของนายกฯ ที่มีต่อผู้สื่อข่าว ดังนั้นหลังจากนี้รัฐบาลควรจะต้องยกระดับการสื่อสารให้เป็นลักษณะการสื่อสารในภาวะวิกฤตได้แล้ว เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากความสับสนอีกหลังจากนี้” ดร.ปุรวิชญ์ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี