‘วิโรจน์’ยัน‘กัมพูชา’ไร้ความชอบธรรม ท้าลาก‘ไทย’ชวนทะเลาะต่อใน‘ศาลโลก’ ละเมิด‘MOU43’ชัดเจน แนะดำรงความชอบธรรม อดทนอดกลั้น เจรจายึดสันติวิธี เดินมาตรการให้บรรลุวัตถุประสงค์ มีประสิทธิภาพ ดึงสติกระแสลามเรียกร้อง‘รัฐประหาร’ ชี้ไม่มีใครยอมรับ ยินดีเปิด‘วิสามัญรัฐสภา’สุมหัวถกหาทางออกให้เป็นเอกภาพ
9 มิถุนายน 2568 ที่รัฐสภา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงสถานการณ์ข้อพิพาทบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาว่า หากจะเรียกว่าคลี่คลายยังคงเร็วเกินไป แต่เรียกว่ากลับไปสู่สถานการณ์เริ่มมีแนวทางที่จะเจรจากันอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ แสดงว่ามาตรการในการจูงใจ ให้กัมพูชากลับเข้าร่วมโต๊ะเจรจาอีกครั้ง ถือว่าได้ประสิทธิผลตามสมควร
เมื่อถามถึงกรณีที่ รมว.การต่างประเทศกัมพูชา ระบุ อยากให้ไทยขึ้นศาลโลกนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า การคลี่คลายข้อพิพาท หรือความขัดแย้งกันระหว่างสองประเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกัน ตนมองว่าการหารือนี้ จะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งสองประเทศมากกว่า และหากวิเคราะห์กันจริงๆ ปัญหาหรือข้อพิพาทที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดจากฝั่งไทย ที่มีข้อเสนอใหม่ หรือเรียกร้องอะไร ที่แตกต่างไปจาก เอ็มโอยู 43 เลย แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหาก ที่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เข้าข่ายการละเมิด เอ็มโอยู 43 ซึ่งไทยและกัมพูชาสมัครใจตกลงร่วมกัน และเราก็มีการค้าการขาย การพัฒนาความเป็นอยู่ วิถีชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยดี มาโดยตลอด
“กัมพูชาจะมีความชอบทำอะไรที่จะนำข้อพิพาทนี้ ไปสู่การคลี่คลายในเวทีอื่น เพราะเราไม่ได้เป็นฝ่ายละเมิดเอ็มโอยู43 และข้อเรียกร้องจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยไม่ได้เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมเลย เราเรียกร้องให้กัมพูชาเคารพเอ็มโอยู43 ที่เราและเขาได้ลงนามร่วมกันโดยสมัครใจ ดังนั้น เราต้องมองสถานการณ์ให้ออก” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้คงมีทั้งการเมืองภายในประเทศ และระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจะต้องไม่ละทิ้งประเด็นที่เกี่ยวพันกับประเทศมหาอำนาจด้วย ซึ่งคงต้องติดตามดูเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และต้องระมัดระวังในการให้ความเห็นอย่างไรก็ตาม ยังคงต้องผูกทั้ง3เรื่องเข้าด้วยกัน แต่หากมีมาตรการที่ชัดเจนออกมา อย่างในตอนนี้บางคนก็มองว่าเป็นมาตรการกดดัน แต่ตนขอเรียกว่า เป็นมาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้กัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาดีกว่าประเทศไทยควรมีมาตรการที่สามารถยืนระยะในระยะยาวหรือตลอดไป จนกว่าที่กัมพูชา จะกลับเข้ามาเจรจาในกรอบเอ็มโอยู 43 ดังนั้น รัฐบาลควรต้องอนุมัติงบประมาณ หรืองบกลางต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนให้กับผู้ประกอบการปรับตัวและชดเชย เยียวยาประชาชน เราต้องยืนระยะมาตรการกดดันต่างๆ เหล่านี้ให้ได้ และต้องพร้อมที่จะดำเนินมาตรการเช่นนี้ตลอดไป ตราบใดที่กัมพูชายังไม่เจรจา
เมื่อถามกรณีที่วุฒิสภาเสนอให้มีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้รัฐบาลชี้แจงและรับฟังความเห็นต่อประเด็นข้อพิพาทดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชา นายวิโรจน์ กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ ตนเองก็เคยเสนอจะประชุมในสภาผู้แทนราษฎร หรือประชุมร่วมกันของทั้ง2สภา ก็ยินดี รัฐบาลจะได้มีข้อเสนอ และแนวทางดำเนินการอย่างที่เป็นเอกภาพ มีความร่วมมือกันระหว่างอำนาจนิติบัญญัติและบริหารมากขึ้น
เมื่อถามถึงกระแสเชื่อมโยงไปถึงรัฐประหาร นายวิโรจน์ ร้องโอ้ ก่อนกล่าวว่า ขอย้ำเป็นครั้งที่ล้านว่า การที่จะคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างประเทศ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือความชอบธรรมในเวทีโลก ที่ประเทศของเราจะสามารถอธิบายกับนานาอารยประเทศได้ หากอยู่ดีๆ เราทำลายประชาธิปไตยด้วยน้ำมือของเราเอง แล้วได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากกากฉกฉวยโอกาสทำรัฐประหาร รัฐบาลเช่นนั้นจะไม่มีที่ยืนในเวทีโลกเลย ไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในการไปเจรจากับมิตรประเทศ หรือประเทศอื่นๆ เลย เพราะจะไม่มีใครในโลกยอมรับ และจะยิ่งเข้าทางฝั่งกัมพูชา ที่เขาต้องการทันที ซึ่งคือการทำลายความชอบธรรมของประเทศไทย ในสายตาโลกและเวทีโลก ดังนั้น วางเรื่องชาตินิยมไว้ก่อน แล้วคิดอย่างเป็นกลาง
“ผมยังยืนยันว่า รัฐบาลกัมพูชาที่เป็นฝ่ายละเมิดเอ็มโอยู 43 กลับท้าทายที่จะไปขึ้นศาลโลกอย่างนั้นอย่างนี้ ความชอบธรรมในการดำเนินการของฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา ไม่มีเลย ดังนั้น เราต้องดำรงความชอบธรรม ใช้ความอดทนอดกลั้น และแสวงสันติวิธีในการคลี่คลาย เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และสิ่งที่เราจะต้องทำคือ ธำรงไว้ซึ่งความชอบธรรมของประเทศไทย และดำเนินมาตรการอื่นๆ ควบคู่ ให้รัฐบาลกัมพูชาเข้าใจสถานการณ์ และยินดีเข้ามาร่วมโต๊ะเจรจา ภายใต้เงื่อนไขที่สมเหตุสมผล และหยิบยื่นข้อเสนอที่เป็นจริงได้” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ดี ประเทศไทยไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไรใหม่ๆ ไม่ได้มีข้อเสนออะไรที่กัมพูชาจะรับไม่ได้ อย่าถูกแรงยั่วยุท้าทาย แล้วใช้กำลังโดยไม่จำเป็น หรือใช้การปะทะโดยไม่เข้าเงื่อนไขที่เรากำหนดไว้ ไม่ใช่ว่าอยู่เฉยๆ แต่การดำเนินมาตรการต่างๆ จะต้องมีความชอบธรรม และมีการสื่อสารทางการเมืองที่ดี วันนี้ตนยังอยากให้รัฐบาลสื่อสารให้ชัด ทั้งกับคนไทย กัมพูชา อาเซียน และโลก ตนเชื่อว่าขณะนี้ รัฐบาลเดินเกมได้เข้าร่องเข้ารอย แต่ไม่ใช่จะใช้กฎอัยการศึกอย่างเดียว เพราะกองทัพมีอำนาจแค่เฉพาะกับเรื่องความมั่นคง และการควบคุมพื้นที่ แต่การอนุมัติงบประมาณ การกำหนดมาตรการการคลัง และการทูต ที่ควรต้องทำควบคู่กันไป กฎอัยการศึกไม่ได้ให้อำนาจกองทัพไว้ ส่วนการรักษามารยาททางการทูต เรารับได้ ที่ผ่านมา ประชาชนไทยก็มักจะไปจับจ้องอิริยาบถ คำพูดของทั้งนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ เหตุผลก็คือประชาชนไม่เห็นมาตรการที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นเอง เชื่อว่า ประชาชนเข้าใจ ภายใต้พิธีกรรมพิธีการที่ควรต้องทำอย่างเป็นทางการ และความจำเป็นที่ต้องรักษามารยาททางการทูต ก็อย่าไปจับจ้อง จับผิด หรือเพ่งโทษเช่นนั้นเลย ดูมาตรการที่เป็นทางการ และผลสัมฤทธิ์ ตอนนี้เรากำลังเดินเข้าไปสู่เส้นทางที่ทำให้เราบรรลุวัตถุประสงค์ได้
“อย่าเพิ่งคิดว่าจะต้องรบ หรือปะทะ วันนี้สังคมไทยต้องดึงเข้ามาอยู่ในจุดที่เราต้องบรรลุวัตถุประสงค์ ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุด” นายวิโรจน์ กล่าว
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี