3สส.จี้‘สรรพากร’
สอบเข้ม‘ทวีวัฒน์’
ปมพบเงิน12ล้าน
หวั่นพัวพันทุจริต
3 สส.พรรคประชาชน บุกสรรพากร จี้สอบปมพบเงิน 12 ล้านบาท เร่งตรวจเส้นทางการเงิน “ทวีวัฒน์” ชี้อาจเป็นจุดเริ่มเล็กๆ นำไปสู่การคอร์รัปชั่นใหญ่ จ่อทำหนังสือถึง กสทช.สงสัยเอี่ยวประมูลคลื่น 29 มิ.ย.นี้
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่กรมสรรพากร น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน(ปชน.) น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. และ น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ แถลงภายหลังยื่นหนังสือต่อกรมสรรพากร เพื่อเรียกร้องให้ตรวจสอบที่มาของรายได้ และเส้นทางการเงิน 12 ล้านบาท ของนายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ที่ปรึกษาบอร์ด กสทช. และมีรายชื่อในคณะอนุกรรมการ กสทช.อีก 5 คณะ
น.ส.ภคมนกล่าวว่า หนึ่งในคณะอนุกรรมการที่นายทวีวัฒน์ นั่งอยู่ คือคณะอนุกรรมการการควบรวมของทรูและดีแทค ซึ่งการประชุมปี 2565 นายทวีวัฒน์ เป็นเสียงข้างน้อยที่ยืนยันว่า กสทช.ไม่มีสิทธิ์อนุญาตและไม่อนุญาตให้เกิดการควบรวมของ 2 ธุรกิจนี้ มีอำนาจเพียงรับทราบเท่านั้น และพฤติกรรมในอดีตที่ผ่านมาก็สามารถฟ้องได้บางอย่าง และยังตั้งข้อสังเกต ว่าเงิน 12 ล้านบาท ที่พบ พร้อมกับจดหมายของ กสทช.ที่เขียนชื่อนายทวีวัฒน์ ชัดเจน ว่า มีความเกี่ยวข้องและมีที่มาอย่างไร อยากให้สังคมตระหนักว่านายทวีวัฒน์ เป็นเจ้าพนักงานรัฐ รับเงินเดือน มีรายได้ประจำ มีอภิสิทธิ์มากมายที่ใช้ภาษีประชาชน จึงต้องตรวจสอบ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่นำไปสู่การคอร์รัปชั่นใหญ่
“สิ่งสำคัญที่สุด นอกจากสังคม และประชาชนจะจับตาแล้ว คนที่มีบทบาทสำคัญที่สุด คือหน่วยงานอย่างกรมสรรพากร คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อย่าปล่อยให้ประชาชนเรียกร้องแค่เฉพาะภาคประชาชน แต่หน่วยงานเหล่านี้ ต้องเข้าร่วมและช่วยกันตรวจสอบ” น.ส.ภคมนกล่าวและว่า สังคมไทย สะกิดตรงไหนก็เจอดังนั้นหากหน่วยงานเหล่านี้ยังเฉยเมย ประชาชนต้องจะจับจ้องมาที่พวกคุณเหมือนกัน
ด้าน น.ส.รักชนก ระบุว่า หลายคนคงตั้งคำถามและอาจมองว่าเป็นเรื่องขำขันที่เขากล้าจะออกมาพูดว่าลืมไว้ หรือการอ้างเรื่องท่อน้ำแตก แต่คนไม่ได้กินหญ้าทุกคนทานข้าว เชื่อว่ามีวิจารณญาณ
พอที่จะคิดเห็นต่อเรื่องนี้ จึงไม่อยากปล่อยผ่าน อยากให้มีการตรวจสอบ เข้าใจว่าขณะนี้ ป.ป.ช.มีการตรวจสอบแล้ว แต่เราจะส่งหนังสือเพื่อย้ำว่าจะติดตามอย่างกัดไม่ปล่อย เงินจำนวนนี้ไม่ได้ถูกยื่นในบัญชีทรัพย์สินของภรรยานายทวีวัฒน์ ส่วนนายทวีวัฒน์ เอง ก็ยื่นรายได้ต่อสรรพากรเพียงปีละ 1 ล้านบาท ดังนั้นเงินจำนวนนี้จะต้องถูกตรวจสอบเส้นทางการเงิน ว่าได้มาจากอาชีพทนายความจริงหรือไม่
“พวกเราจะไปยื่นเรื่องต่อ กสทช.ด้วย แม่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการดำเนินการอะไร แต่หากยังเฉยเมย คนคนนี้ เป็นพนักงาน กสทช. คิดว่ามันจะหน้าด้านไปสักนิดหนึ่ง เราต้องยื่นหนังสือเพื่อกระทุ้งให้ กสทช.ทั้งบอร์ด ต้องทำอะไรสักอย่าง” น.ส.รัชนก กล่าว
ขณะที่ น.ส.พนิดากล่าวว่า เราได้ตั้งคำถามตั้งแต่พบเงินสดดังกล่าว บทบาทของผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งทำหน้าที่ในอนุกรรมการฯ ที่มีอำนาจตัดสินใจ หรือเข้าถึงการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ จะกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนเราตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ ว่าเงินนี้จะเกี่ยวข้องกับการประมูลคลื่นฯ ในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ หรือไม่ และหน้าที่ของ กสทช.เอง ต้องพิสูจน์ความโปร่งใส เพราะนอกจากเรื่องนี้ก็ยังมีคำถามถึงราคาตั้งต้นในการประมูลคลื่นทั้ง 4 ย่านหลัก แต่กลับมีผู้เข้าร่วมประมูล เพียง 2 เจ้าใหญ่เท่านั้น อาจคาดการณ์ได้ว่าการประมูลจะจบที่ราคาตั้งต้น ยิ่งมาดูที่ตัวเลขแล้วก็ยังต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น
“ขอตั้งคำถามว่าราคานี้ชอบธรรมหรือไม่ และมีที่มาอย่างไร หากไม่มีการแข่งขันจริง อะไรจะเป็นหลักประกันให้กับประชาชน ว่าจะสามารถได้รับบริการทางเครือข่ายอินเตอร์เนต ที่มั่นคงและเป็นธรรมตามบทบาทหน้าที่ของ กสทช.ผู้ทำการจัดสรร” น.ส.พนิดา กล่าว
เมื่อถามถึงเบาะแสหรือการทุจริตภายใน กสทช.น.ส.ภคมน กล่าวว่า อยากให้ทุกคนติดตามอนุกรรมการที่ 4 และ 5 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) หรือกองทุนยูโซ่ (USO) ที่บริหารเงินปีละ 5 พันล้านบาท และได้รับหลักฐานว่าอาจมีความเกี่ยวข้องในการฮั้วประมูล ตกลงกันในการให้ทุนของกองทุนนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการรวบรวมหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว ก็จะเปิดเผยต่อไป ขอย้ำว่ากองทุนนี้เป็นกองทุนที่ลึกลับมาก เป็นกระเป๋าเงินที่สำคัญของ กสทช.ที่ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไร และประธานกองทุน คือประธาน กสทช.ซึ่งคงไม่ต้องคาดหวังเรื่องการตรวจสอบเลย นอกจากนี้ กองทุนยังตั้งขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการประมูล เลือกจ้างได้แบบเฉพาะเจาะจงโดยวิธีการให้ทุนไปผลิต
วันเดียวกัน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.พร้อมด้วยผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมประชุมวางแนวทางสืบสวนสอบสวน ในการตรวจสอบเงิน 12 ล้านบาท โดยเป็นคนละส่วนกับตำรวจ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ท้องที่เกิดเหตุ ดำเนินการ ซึ่งทาง รอง ผบช.ก.ระบุว่าจะตรวจสอบที่มาของเงิน เส้นทางการเงิน ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ดีเอ็นเอ บนเงินที่พบ รวมถึงตำแหน่งหน้าที่ของนายทวีวัฒน์ ที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าของเงินดังกล่าว ซึ่งส่วนตัวมองว่าเงินจำนวนมาก โดยทั่วไปจะต้องเก็บเข้าธนาคาร และแปลกที่เงิน 12 ล้านบาท จะอยู่ตรงนั้น อ้างว่าลืมแบบนี้แสดงว่ายังมีอีกหลายก้อนและแม้ว่าเงินที่พบจะมีสายรัดธนาคารระบุปี 2563 ก็สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ โดยแต่ละปึกของธนบัตร แม้จะไม่เรียงเลขกัน ก็สามารถตรวจสอบได้ว่าใครเป็นคนโอนใครเป็นคนเบิกออกมา
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี