'จตุพร'เปิดใจสัมพันธ์'ฮุน เซน' ย้ำไม่เคยลี้ภัย เล่าความหลัง'ทักษิณ'เคยสั่งให้ไปพบหลังปี 53

'จตุพร'เปิดใจสัมพันธ์'ฮุน เซน' ย้ำไม่เคยลี้ภัย เล่าความหลัง'ทักษิณ'เคยสั่งให้ไปพบหลังปี 53

วันอังคาร ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2568, 11.38 น.

วันที่ 17 มิถุนายน 2568 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อ 16 มิ.ย. 2568 ถึงสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกฯ กัมพูชา ได้เตือนให้แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและนึกถึงไมตรีตอนขอลี้ภัยไปอยู่ ไปกินที่กัมพูชา ว่า ตนไม่เคยหนีจากประเทศไทยไปลี้ภัยไปกัมพูชา

“ผมไม่ใช่ผู้ลี้ภัย (ไปกัมพูชา) อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุการณ์ล้อมปราบปี 53 ขณะนั้นผมเป็น สส. ยังทำหน้าที่อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจนเสร็จสิ้น แต่มีการแนะนำให้ผมหนี ซึ่งไม่เคยหลบหนี แม้รู้ข่าวจากมิตรไมตรีจากฝ่ายกัมพูชาได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์ไว้รอรับที่ชายแดนทุกครั้งที่มีการยื่นถอดถอนประกันตัว แต่ผมไม่เคยไปสักครั้งเลย”


อีกทั้งกล่าวว่า กระทั่งวันหนึ่งทักษิณ ชินวัตร โทรมาบอกให้ไปพบสมเด็จฮุนเซน ซึ่งอยากจะเจอกันสักครั้ง ตนจึงไปตามคำสั่ง เมื่อไปเจอกันที่บ้านสมเด็จฮุนเซน และได้พบกับฮุนมาเนต และคนในตระกูลฮุนเซน รวมทั้งคนไทยอีก 2 คนร่วมพูดคุยด้วยสัมพันธภาพที่ดีกันเสมอๆ และตนไม่เคยคาดคิดว่า ถ้าตระกูลชินวัตร เป็นนายกฯ จะมีปัญหาเรื่องดินแดน

นายจตุพร กล่าวว่า ความสัมพันธ์ต้องแยกผลประโยชน์ส่วนตัวกับของชาติ โดยเฉพาะบูรณภาพเรื่องดินแดน ถ้าไม่สามารถแยกกันได้ ตนก็เหมือนคนขายชาติ ส่วนฝ่ายกัมพูชาก็เช่นเดียวกัน แต่ต้องยกเว้นเรื่องแผ่นดิน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สมเด็จฮุนเซนกับนายกฯ ฮุนมาเนต แสดงออกนั้นก็เป็นรื่องชาติบ้านเมือง ดังนั้น เราต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกให้ได้ เพราะชาติต้องเป็นเรื่องหลัก คนกัมพูชาก็รักชาติของเขา ตนเป็นคนไทยมีหน้าที่รักษาชาติบ้านเมืองเช่นกัน ส่วนความสัมพันธ์ส่วนตัวยังดำรงอยู่เสมอ

"ในขณะนั้น (ปี 53) ถ้าทักษิณสารภาพเหมือนยื่นถวายฎีกาต่อพระเจ้าแผ่นดินหลังกลับมาไทย (ในปี 66) เหตุการณ์กรณีปี 53 ก็คงไม่เกิดขึ้น คงไม่มีคนตาย คนเจ็บ ไม่มีคนสูญสิ้นอิสรภาพ และผมยังมีคดียาวเป็นหางว่าวอยู่ในขณะนี้”

นายจตุพร กล่าวถึงไปกัมพูชาอีกว่า ในช่วงนั้น การพบกับสมเด็จฮุนเซนมีหลายครั้ง และบ่อยครั้งทักษิณ มาร่วมวงพูดคุย แล้วยังมีคนไทยคนอื่นด้วย สมเด็จฮุนเซน เล่าเรื่องราวชีวิตการต่อสู้ของตัวเองเพื่อปลดปล่อยกัมพูขาจากขบวนการอำนาจเขมรแดง ต้องจากลูกคือ ฮุนมาเนตตั้งแต่เล็กๆ และยังเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม สมเด็จฮุนเซนเรียกตนทุกคำพูว่า ไอ้น้องชาย ซึ่งตนก็ให้เกียรติเช่นกัน โดยเรียกฮุนเซนว่า สมเด็จ

"ที่เล่าให้ฟังนั้น สมเด็จฮุนเซนและฮุนมาเนต เป็นคนกัมพูชา ซึ่งเราแต่ละชาติจะรักชาติอื่นมากกว่าชาติเราไม่ได้ ส่วนความรักในฐานะมนุษยชาติพึงรักกัน และคุยกันได้หมด ยกเว้นเรื่องบูรณภาพเรื่องดินแดน เรื่องอำนาจอธิปไตยในดินแดนนั้นๆ ซึ่งเป็นจุดยืนของนักต่อสู้ทั้งหลายที่ต่อสู้กันมา"

พร้อมทั้งย้ำว่า ตนไม่เคยอยู่ในฐานะผู้ลี้ภัย ความจริงไม่ใช่เฉพาะกัมพูชาเท่านั้น แม้มีหลายพื้นที่ติดต่อให้ไปอยู่ในช่วงหลังเหตุการณ์ปี 53 แม้มีการข่าวที่คนนำมาบอกให้ระวังตัวเพราะถูกตามฆ่า แต่ตนเลือกหนทางเสี่ยงตายอยู่ในประเทศไทย

จนมาถึงวันนี้ สิ่งสำคัญ การพูดของผมถึงสมเด็จฮุนเซน ทั้งบนเวทีอภิปราย หรือจัดรายการ และให้สัมภาษณ์สื่อ ผมให้เกียรติสมเด็จฮุนเซนเสมอและแยกผลประโยชน์ชาติกับเรื่องส่วนตัวที่ดีต่อกัน รวมทั้งยังเคารพน้ำใจที่ดูแลหมู่มิตรไปอยู่ในกัมพูชาที่ผ่านมาและขณะนี้ก็ยังมีอยู่

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : ‘ฮุนเซน’ทวงบุญคุณ สวน‘จตุพร’อย่าลืม‘เคยให้ที่พักพิง-เลี้ยงดูตอนลี้ภัย’


 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top