ปมร้อนเขย่าการเมืองครั้งใหญ่ รัฐบาลชุดนี้และสส. สว.ทั้งสองสภา เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 มีมติรับไต่สวนคำร้องเรื่องกรณีกล่าวหา กรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รวมถึงคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)สมาชิกวุฒิสภา (สว.)และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ร่วมกันจัดทำ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 กรณีการร่วมกันเสนอ ขอเพิ่มและเปลี่ยนแปลงรายจ่ายงบประมาณสำหรับ‘ใช้หนี้’ของรัฐวิสาหกิจ 5 แห่งวงเงิน3.5หมื่นล้านบาท และนำไปเพิ่มเป็นงบประมาณรายจ่ายตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 รายจ่ายงบกลาง(5)ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ(Digital Wallet)3.5หมื่นล้านบาท ซึ่งอาจเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง
โดยเฉพาะบุคคลในรัฐบาลที่เคยร่วมหัวจมท้าย ร่วมจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 โดยแกนนำรัฐบาล อย่าง นายนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น รมว.คลังสมัยครม.นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และเป็นประธานกมธ.วิสามัญฯพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 68กล่าวว่าได้รับทราบแล้วแต่ได้รับฟังความเห็นส่วนใหญ่แล้ว มั่นใจไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ส่วนคำร้องระบุว่าครม.ไปปรับลดงบประมาณในส่วนของรายจ่ายต้นเงินกู้และดอกเบี้ยรวมถึงรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย โดยนำเงินไปใช้ในโครงการแจกเงิน1หมื่นบาทตามนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต อาจจะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 นายพิชัย ยืนยันว่า“ไม่ได้ตัดๆ เราไม่ได้ตัด เราตัดที่ไหนเหมือนเดิม ไม่ได้ตัดเลย ถ้าเป็นเงินตรงนั้น ไม่ได้ตัดแน่นอน”
เมื่อถามว่าเป็นการไปปรับลดงบประมาณที่ต้องชดเชยเพื่อใช้หนี้ธนาคารของรัฐเช่นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)นายพิชัย กล่าวว่า ในส่วนนั้น ไม่ใช่เงินต้น ไม่ใช่ดอกเบี้ยตามคำนิยาม
ขณะที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่าการนำงบประมาณที่กมธ.ปรับลดจำนวน35,000ล้านบาท ไปใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตไม่เข้าข่ายข้อห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา144ที่เป็นการห้ามแปรญัตติปรับลด หรือตัดทอนรายการ เงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และ เงินที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย
“รายการทั้ง3นี้เรียกว่ารายการงบประมาณเพื่อชำระหนี้ภาครัฐเป็นหนี้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันและหนี้ของรัฐวิสาหกิจ รวม 7 หน่วยงาน เป็นหนี้สาธารณะที่บังคับให้รัฐต้องตั้งงบประมาณชดใช้ทั้งเงินต้น ดอกเบี้ย เพื่อรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศจะเอาแต่กู้แต่ไม่ใช้คืน ประเทศก็จะล้มละลาย รายการทั้งสามนี้จึงห้ามกรรมาธิการปรับลดตามรัฐธรรมนูญมาตรา144วรรคแรก”นายชูศักดิ์ย้ำ
นายชูศักดิ์ ชี้แจงว่ารายการส่วนที่ปรับลดไป35,000ล้านบาท เป็นงบประมาณในส่วนที่กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 5 แห่งได้ทบทวนงบประมาณในส่วนที่สามารถชะลอการดำเนินการได้และเป็นงบประมาณในส่วนของการชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ของหน่วยงานของรัฐอันเกิดจากโครงการของรัฐบาลซึ่งรัฐต้องรับภาระชดเชยให้ โดยสามารถที่จะมียอดค้างได้ ทั้งหมดรวมกันไม่เกินร้อยละ32ของงบประมาณแผ่นดิน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด
“ดังนั้นงบประมาณ35,000ล้านบาท ที่นำไปใช้ในโครงการDigital Wallet แจกเงินนึ่งหมื่นบาทที่เป็นประเด็นร้องเรียน จึงมิใช่งบประมาณชำระหนี้ภาครัฐ ที่รัฐธรรมนูญมาตรา144ห้ามแตะต้องแต่อย่างใด เท่าที่ตรวจสอบดู การแปรญัตติตอนจัดทำงบประมาณปี2565ก็ดำเนินการทำนองนี้เช่นกัน”นายชูศักดิ์ กล่าว
ในส่วน น.ส.ศิริกัญญา ตันกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ว่า ตามข้อกฎหมายอาจจะไม่ได้เข้ารัฐธรรมนูญมาตรา 144 เพราะส่วนที่เกี่ยวกับมาตรา 144 แล้ว ตัดลดไม่ได้ อยู่ในแผนงานชำระหนี้ ซึ่งแผนงานชำระหนี้ ไม่โดนปรับลด แต่ในส่วนที่โดนปรับลดอยู่ในแผนงานยุทธศาสตร์ เป็นการใช้หนี้เหมือนกันแต่อยู่คนละแผนจึงไม่เรียกว่า เป็นงบชำระหนี้
“แต่ยังไม่รู้ว่าหากป.ป.ช.สอบออกมาแล้ว แล้วบอกว่า ผิด อันนี้ ดิฉันคิดว่า อาจจะเป็นนิติสงคราม ต้องรอผลสอบของ ป.ป.ช.อีกทีหนึ่ง”น.ส.ศิริกัญญา ย้ำ
ดังนั้น หากป.ป.ช.ไม่ได้ตีความข้อกฎหมาย เหมือนทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านมองและตีความว่าเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ใครไม่อยู่ในห้องประชุม ครม.จะรอดหรือไม่ และครม.แพทองธารอาจจะไม่ร่วงทั้งหมดหรือเปล่า เนื่องจากครม.เศรษฐาเป็นคนจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 68
เพราะโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตคนละหนึ่งหมื่นบาท เป็นนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 66 เป็น‘นโยบายเรือธง’ของ ครม.เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมครม.รวม 35 คน ซึ่งรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ ยุคครม.เศรษฐา ต่อเนื่องจนถึง ครม.แพทองธารซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่เดิม โดยเดินหน้านโยบายแจกเงินผ่านตามาจนถึงปัจจุบัน ถึงวันที่ชะลอโครงการ
ขณะที่ คณะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 จำนวน 72 คน จากทุกพรรคการเมือง ทั้งพรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน ต่างมีส่วนร่วมกับการปรับลดงบประมาณเพื่อมาใช้ในนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต
ในการลงมติสภาผู้แทนฯร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 มีเสียงเห็นชอบ 309 เสียง ไม่เห็นชอบ 155 เสียง เกือบทั้งหมด คือ พรรคประชาชน(ไม่เห็นด้วย 141 เสียง) งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง และในขั้นตอนวุฒิสภา มีผู้ลงมติเห็นด้วย 174 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง
ล่าสุดน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ถึงกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) รับไต่สวนกรณีการโยกงบประมาณปี2568 มาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต อาจผิดรัฐธรรมนูญมาตรา144 โดยนายกฯระบุว่า รับทราบเรื่องแล้ว อันนั้นเป็นงบที่อยู่ในวงเงิน1.57แสนล้าน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือเรียกชี้แจงอย่างเป็นทางการ
จากนี้ไปต้องจับตาว่าป.ป.ช.จะมีมติแจ้งข้อกล่าวหา ชี้มูลความผิดเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
และสิ่งสำคัญรัฐธรรมนูญ มาตรา 144ระบุว่า หากคณะกรรมการป.ป.ช.เห็นว่ากรณีมีมูลให้เสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยให้แล้วเสร็จ ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับ
ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีการกระทำที่ฝ่าฝืนให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าว เป็นอันสิ้นผล ถ้าผู้กระทำการดังกล่าว เป็นสส.หรือ สว.ให้ผู้กระทำการนั้น สิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแต่ในกรณีที่ ครม.เป็นผู้กระทำ หรืออนุมัติให้การกระทำ หรือรู้ว่ามีการกระทำดังกล่าว แต่มิได้สั่งหรือยับยั้ง ให้ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้อยู่ในที่ประชุมในขณะที่มีมติ และให้ผู้กระทำการดังกล่าว ต้องรับผิดชดใช้เงินนั้นคืนพร้อมดอกเบี้ย
เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดจัดทำโครงการ หรืออนุมัติ หรือ จัดสรรเงินงบประมาณโดยรู้ว่ามีการดำเนินการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติฯ ถ้าได้บันทึกข้อโต้แย้งไว้เป็นหนังสือ หรือมีหนังสือแจ้งให้คณะกรรมการป.ป.ช.ทราบ ให้พ้นจากความรับผิด
และเมื่อกระบวนการได้เริ่มขึ้นแล้ว หาก ป.ป.ช.ชี้มูลส่งเรื่องมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการจะดำเนินไปโดยไม่ช้า ลุ้นระทึก เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาย่อมส่งผลต่อการเมืองไทย สั่นสะเทือนครั้งใหญ่ อาจล้มกันทั้งกระดานหรือไม่ ก็หวังให้องค์กรอิสระได้ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ไม่ต้องให้ประชาชนออกมาเคลื่อนไหว หรือ มีอำนาจอื่นเข้ามาแทรกแซง เพื่อจะให้เป็นบรรทัดฐานต่อไป อย่างน้อยๆเพื่อสกัดการผลาญเงินแผ่นดิน
- ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี