เพื่อไทยเสียงแข็งไม่ยุบสภา-ไม่ลาออก
‘อิ๊งค์’หัวชนฝา!
โต้ข่าวรับเงื่อนไขรทสช.
ยอมไขก๊อกหลังผ่านงบ
ตัดเค้กปรับครม.ชุดใหม่
‘ประเสริฐ’คุมมหาดไทย
เลขาฯ เพื่อไทย ยืนยัน นายกฯอิ๊งค์ ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา เดินหน้าลุยจนหมดวาระ แก้ไข วิกฤตชายแดน-ภาษีทรัมป์ เริ่มกระบวนการแก้ไขรธน.สร้างกติกาประชาธิปไตย โต้ข่าวรับเงื่อนไข รทสช. ยอมไขก๊อกหลังผ่านงบวาระ 3 ขณะที่ รทสช.ทุบโต๊ะต้องออกสถานเดียว “ชนินทร์ รุ่งแสง” ยื่นหนังสือจี้ประชาธิปัตย์ประชุมทบทวนนโยบายหามเกี้ยวให้อุ๊งอิ๊งค์ใหม่ หลังสมาชิกพรรคไม่พอใจทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 ผู้สื่อข่าวงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ภายหลังพรรคภูมิใจไทยลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาลจึงทำให้รัฐบาลต้องมีการแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรีที่จะต้องกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีใหม่ โดยล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 184 / 2568เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมาย และมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567เรื่อง มอบหมาย และมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 19 ก.ย.2567
‘อิ๊งค์’แบ่งงานรองนายกฯ
คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 77/2567 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 6 ม.ค.2568
และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103/2568 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีลงวันที่ 24 มี.ค.2568 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย จึงให้แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567ลงวันที่16 ก.ย.2567 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 103 /2568 ลงวันที่ 24 มี.ค.2568 1.ให้ยกเลิกส่วนที่ 4แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567ลงวันที่ 16 ก.ย.2567
‘ภูมิธรรม’คุม‘มหาดไทย’
2. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ให้ยกเลิกความในข้อ 1.1.แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567ลงวันที่ 16 ก.ย.2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.กระทรวงกลาโหม 2.กระทรวงมหาดไทย 3.กระทรวงยุติธรรม 4.สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา 5.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ 6.สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา)
3. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี ให้ยกเลิกความในข้อ2.1แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567ลงวันที่ 16 ก.ย.2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.กระทรวงการต่างประเทศ 2.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 3.กระทรวงคมนาคม 4.กระทรวงแรงงาน 5.กระทรวงวัฒนธรรม และ6.สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
‘ประเสริฐ’คุม อว.-ศึกษาธิการ
4. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี ให้ยกเลิกความในข้อ 2.1 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567ลงวันที่ 16 ก.ย.2567 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการเทพมายกรัฐมนตรี ดังนี้ 1.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 2.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 3.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4.กระทรวงศึกษาธิการ 5.กระทรวงสาธารณสุข 6.กรมประชาสัมพันธ์ 7.สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และ8.สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
ไม่พบมอบหมายงานให้‘พีระพันธุ์’
อย่างไรก็ตาม ให้ยกเลิกความในข้อ 6.3 แห่งคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 313/2567 ลงวันที่ 16 ก.ย.2567 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่103/2568 ลงวันที่ 24 มี.ค.2568 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้ 1.สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ 2.สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหารมหาชน) 3.สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ 4.สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) 5.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม 6.สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิจิทัล (องค์การมหาชน) 7.สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม และ 8.สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 20 มิ.ย.2568
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตว่าในเอกสารดังกล่าวไม่มีการแบ่งงานให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะรองนายกฯ ให้กำกับดูแลบริหารราชการแทนนายกฯในส่วนกระทรวงใดเลย.
เผยเงื่อนไขเจรจารทสช.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 21 มิถุนายน 2568 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร(กก.บห.)พรรคร่วมไทยสร้างชาติ(รทสช.)มีมติเห็นชอบมอบอำนาจให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช.นำมติในที่ประชุมไปแจ้งกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ลาออกจากตำแหน่ง ถ้าไม่ออก พรรครวมไทยสร้างชาติจะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ภายหลังมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เกี่ยวกับความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา
ล่าสุดแหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยสำนักข่าวอิศรา(www.isranews.org)ว่านายพีระพันธ์ ได้มาพบกับนางสาวแพทองธาร เพื่อแจ้งมติที่ประชุมกก.บห.พรรครทสช.ให้นายกรัฐมนตรีลาออกทราบแล้ว เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยนางสาวแพทองธารได้ขอให้ผ่านการลงมติร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในวาระที่สามก่อน ถึงจะลาออก
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 อยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นของคณะกรรมาธิการฯหลังจากที่ประชุมสภาฯมีมติเห็นชอบรับหลักการในวาระแรก เมื่อวันที่ 31 พ.ค.68 ทั้งนี้ ปฏิทินการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 69 สภาผู้แทนราษฎรมีกำหนดลงมติใน วาระที่ 2-3 ระหว่างวันที่ 13-15 ส.ค.68 และวุฒิสภาจะพิจารณาเห็นชอบระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค.68 ก่อนที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) จะนำ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในวันที่ 8 ก.ย.68
พท.ยัน’อิ๊งค์’ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา
นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกระแสข่าวลือที่ว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อาจตอบรับข้อเสนอจากพรรคการเมืองบางพรรค ด้วยการลาออก หรือยุบสภา หลังผ่านการลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในวาระที่สามนั้น
“ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทยขอเรียนชี้แจงอย่างชัดเจนว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดและนายกรัฐมนตรีได้ยืนยันกับพวกเราชัดเจนว่าจะเดินหน้าทำหน้าที่แก้ไขวิกฤตการณ์ต่างๆที่ประเทศกำลังเผชิญอย่างเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินมาตรการตอบโต้ที่เข้มข้นขึ้น ทั้งในมิติการทูตและด้านความมั่นคง รวมถึงปัญหาวิกฤตภาษีทรัมป์ ที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันการเจรจาอย่างจริงจัง และได้รับการตอบรับอย่างดีจากคู่เจรจา”นายสรวงค์ กล่าว
มุ่งมั่นดันทุกนโยบาย-แก้ไขรธน.
นายสรรงค์กล่าวอีกว่า รัฐบาลยังมุ่งมั่นใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่จนครบวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี ในการผลักดันนโยบายที่วางไว้ให้เกิดผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การเดินหน้านโยบายปราบปรามยาเสพติด, การปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้น, มาตรการลดค่าครองชีพ ผ่านโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ผ่านการพัฒนาโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่, การสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ (man-made destination) เพื่อเป็นรายได้ใหม่ของประเทศ สร้างงาน สร้างเศรษฐกิจ และมาตรการแก้ไขหนี้สินของประชาชน ที่กำลังดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการเริ่มต้นกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม เพื่อสร้างกติกาทางประชาธิปไตยที่เป็นธรรม ยึดโยงกับประชาชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นภารกิจทางการเมืองสำคัญที่ต้องการเสถียรภาพและการต่อเนื่องของรัฐบาลในการขับเคลื่อน
ลุยทำงานแก้ปัญหาจนหมดวาระ
“ทั้งหมดนี้ คือ เหตุผลที่รัฐบาลยืนยันจะเดินหน้าทำงานต่อไป ไม่ลาออก และไม่ยุบสภา เพราะเป้าหมายของเรา คือ การเร่งแก้ปัญหาให้จบ และผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้นจริง เราเชื่อว่าความต่อเนื่องในการบริหารประเทศเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเหล่านี้เดินหน้าอย่างเต็มกำลังจนถึงวันสุดท้ายของวาระรัฐบาล”เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ย้ำและพร้อมระบุว่าจึงขอวิงวอนผู้ที่เผยแพร่ข่าวลักษณะดังกล่าว โปรดคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก อย่าให้เรื่องทางการเมืองมาบดบังเป้าหมายสำคัญนี้ เพราะรัฐบาลนี้ได้รับอำนาจมาจากประชาชน เราเป็นตัวแทนของพวกเขา และมีหน้าที่ต้องทำงาน แก้ปัญหาให้พวกเขาจนหมดวาระที่ประชาชนไว้วางใจให้เราทำหน้าที่แทน
พท.อวยนายกฯปรับครม.เร่งทำงาน
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยกล่าวกรณีพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทุกพรรคพร้อมสนับสนุนและเดินหน้าทำงานต่อกับรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่าประเทศไทยต้องไปต่อ เพราะวิกฤตของประเทศรอไม่ได้ เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ การเมือง ประเทศชาติจะขาดรัฐบาลไม่ได้ การที่พรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกไป ไม่ใช่ปัญหา เชื่อว่านายกฯจะสามารถจัดคณะรัฐมนตรีได้อย่างดีมืออาชีพ ที่จะมาเร่งสร้างผลงานในทุกมิติในช่วงเวลา 2 ปีที่เหลือของรัฐบาล
“มองในมุมบวก การออกไปของรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยอาจทดแทนด้วยการได้รัฐมนตรีใหม่ได้วิธีคิด วิธีทำ วิธีบริหารแบบใหม่ เชื่อว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ น.ส.แพทองธาร ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะเร่งเครื่องสร้างและยกระดับผลงานของรัฐบาล ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในปี2570
เชื่อมั่นเสียงพรรคร่วมเหนียวแน่น
นายอนุสรณ์กล่าวด้วยว่า ขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่น รัฐบาลจะมีเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลมากหรือน้อย ถือเป็นปัจจัยหนึ่งในการเดินหน้าทำงาน แต่ปัจจัยสำคัญกว่านั้นคือคุณภาพต้องอยู่เหนือปริมาณ ไม่ว่าเสียงพรรคร่วมรัฐบาลจะมากหรือน้อย ก็ต้องสามารถยกระดับและเร่งสร้างผลงานเพื่อประเทศชาติและประชาชนให้ได้ จำนวนเสียงพรรคร่วมเดิมจากพรรค ภท.ที่ออกไป จะสามารถทดแทนด้วยการยกระดับผลงาน เพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต
“รัฐบาลน.ส.แพทองธาร พรรคเพื่อไทย พร้อมเดินหน้าทำงานต่อ โดยมีเสียงสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่น พร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเข้มแข็ง มีเสถียรภาพ มีเอกภาพ ในการทำงาน จะเร่งยกระดับสร้างผลงานเพื่อนำพาประเทศชาติและประชาชนออกจากวิกฤต”นายอนุสรณ์ กล่าว
“วิสุทธิ์” ชี้ เสียงรบ. ไม่ปริ่มน้ำ
นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานสส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงเสถียรภาพของรัฐบาลที่ตอนนี้หลายฝ่ายมองว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ว่า ไม่ปริ่ม ความเป็นจริงคือมีอีกหลายคน พรรคไม่มา แต่คนมา
ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นงูเห่าหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นงูเห่า เพราะบางคนเขาไม่อยากอยู่ที่เดิม เขาอึดอัดไม่สบายใจ พรรคหรือรัฐบาลก็ไม่ได้ห้าม
เมื่อถามว่า มองว่าหากเปิดสภาฯ แล้วจำนวนเสียงสส. ฝ่ายรัฐบาลที่มีอยู่ตอนนี้เป็นอุปสรรคในการพิจารณากฎหมายหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นอุปสรรค เราพร้อมทำหน้าที่ และย้ำว่าไม่มีอุปสรรคอะไร พรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคก็มีคนสมัครไปเยอะแยะ ยังไม่อยากเปิดเผยตัวเลข เพราะเป็นมารยาท ใครจะไปจะมาก็แล้วแต่ความสะดวก ความสมัครใจ หลายท่านเห็นแนวทางก็อยากทำงานแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติบ้านเมือง อยากสนับสนุนรัฐบาลก็เป็นสิทธิ์ และเป็นเอกสิทธิ์ของสภาฯ
‘วิทยา’ย้ำมติรทสช.ให้เปลี่ยนนายกฯ
นายวิทยา แก้วภราดัย รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.)เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดของพรรคที่ให้นำมติไปคุยกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า รอฟังข่าวอยู่ว่าเขาจะว่าอย่างไร เขายังไม่ตอบมา อย่างเป็นทางการซึ่งมติของพรรครทสช.คือ ขอให้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี ถ้าไม่เปลี่ยน เราก็ต้องลาออกเพราะนายกฯหมดคุณสมบัติที่จะเป็นแล้ว อยู่ไปก็คงยาก 2-3 เดือน ก็เต็มที่แล้ว เพราะขณะนี้กระแสไปเร็วมาก มติที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้แต่หัวหน้าไม่อยากพูดเพราะท่านเป็นสุภาพบุรุษ
เมื่อถามว่าเรายังคงยืนยันตามนี้อยู่ใช่หรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า“ก็มันเป็นมติ เราก็ต้องยืนยันตามนั้น และคิดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาพรรคไว้ ถ้าเปลี่ยนแปลงจากนี้ก็ต้องมาคุยกัน”
บอกนายกฯหมดคุณสมบัติรอดยาก
ผู้สื่อข่าวถามถึงข่าวนายกฯแจ้งกลับมาแล้วว่าจะขอลาออกหลังจากผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 แล้วนายวิทยากล่าวว่า ก็ไม่เป็นไรก็ค่อยมาคุยกัน แต่ตนคิดว่าคงไม่จำเป็นเพราะงบประมาณฯอีก 3 เดือนกว่าจะผ่าน ไม่จำเป็นหรอก
“ปัญหาคือจะอยู่ถึงหรือป่าวปัญหาเรื่องของจริยธรรมก็จะตามมาเป็นขบวนแล้วมันรอดยากแล้วทางการเมืองก็การเมืองไปแต่ในทางกฎหมายยิ่งไปกันใหญ่ เร็วกว่าการเมืองด้วย ผมกลัวว่าการเมืองยังไม่ทันจบ ทางกฎหมายจะไปก่อนแล้วอย่างนี้จบเลย”รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ย้ำ
แปลกใจคำสั่งแบ่งงานรองนายกฯ
เมื่อถามว่าหากรัฐบาลจะเอาเฉพาะกลุ่ม18ไปจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ นายวิทยา หัวเราะก่อนกล่าวว่าจะไปอย่างนั้นอย่างไร ตนก็ยังแปลกใจกับการเมืองแบบนี้ก็อาจจะฝากลูก ฝากหลานไปเป็นก่อนมั๊ง ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เขา เขาเป็นรัฐบาลเขาก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งก็อาจทำให้ระบบมันเสีย แต่เมื่อเราออกจากรัฐบาลแล้ว เราก็ไม่มีพันธะอะไรแล้ว เราก็ว่าของเราไป
ผู้สื่อข่าวถึงกรณีมีข่าวนายกฯแบ่งงานให้รองนายกฯกำกับดูแลกระทรวงต่างๆ ที่พรรคภูมิใจไทยเคยดูแลแล้ว โดยไม่มีชื่อของนายพีระพันธุ์ กำกับดูแลด้วยนายวิทยา กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่า ข่าวจริงหรือไม่เพราะตอนนี้ข่าวปล่อยเยอะ จิตนาการเยอะ นักวิเคราะห์เยอะ เรื่องนี้ถ้าจะมีการแบ่งงาน มันต้องออกมาเป็นคำสั่ง จะแบ่งกันตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว เราไปเต้นตามคงไม่ได้ ให้นิ่งสักหน่อย เป็นนักการเมืองอายุมากกันทุกคนแล้ว ส่วนข่าวที่ว่าการปรับ ครม.จะเสร็จสิ้นในวันพรุ่งนี้แล้วนั้น ไม่เป็นไร ให้จริงก่อน เรารอได้ ไม่รีบ
จับตา4คดีสำคัญ‘อิ๊งค์’ไม่ออกก็ไปไม่รอด
นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม ประธานสถาบันสุจริตไทย โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ก ระบุว่า “จับตา 4 คดีสำคัญที่ นรม.ไม่ลาออกรัฐบาลก็ไปต่อไม่ได้” 1.คดีชั้น14 ถ้าผู้นำตัวจริงต้องหนีโดยมีนรม.และ รมต.ร่วมทำผิดกับ จนท.(ศาลฎีกาฯนักการเมือง) 2.คดีม.144 ถ้า ครม.2รัฐบาล สส.สว.ที่ร่วมเปลี่ยนแปลง งบประมาณต้องห้าม ต้องถูกตัดสิทธิ และพ้นตำแหน่งทันที(ศาลรัฐธรรมนูญ) 3.คดีสว.ยื่นให้ นรม.พ้นจากตำแหน่งเพราะไม่สุจริต(ไม่รักษาผลประโยชน์ชาติและผิดกฎหมายความมั่นคง(ศาลรัฐธรรมนูญ) 4.คดีอาญาที่กลุ่มรวมพลังแผ่นดินฟ้องนรม.เป็นภัยความมั่นคง จากคลิปเสียงหารือช่วยเหลืออริราชศัตรู(ศาลอาญา).
“สมชัย”จับตาการตัดสินใจ“พีระพันธุ์”
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร นักวิชาการ อดีตกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ข้อความว่า วินาทีของการตัดสินใจของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ คือจุดเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย การคงอยู่ของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในเวลานี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจสุดท้ายของคนชื่อพีระพันธุ์แล้ว สภามี 495 คน เกินครึ่งคือ 248 เสียง ตอนนี้รัฐบาลเมื่อหักภูมิใจไทย ไปเหลือ 255 เสียง รวมไทยสร้างชาติ มี 36 เสียง ต่อให้เหลือครึ่ง คือ 18 เสียง เสียงของรัฐบาลยังไงก็ไม่ถึงครึ่งของสภา ล้มในวันแรก ที่ต้องผ่านกฎหมายสำคัญ ข้อเสนอของรวมไทยสร้างชาติ ที่ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ให้ นายชัยเกษม นิติสิริ ขึ้นแทน ไม่เช่นนั้น จะถอนตัวจากพรรคร่วม จึงเป็นข้อเสนอที่ทรงพลังที่สุด
ชี้ ต่อให้รทสช.อยู่ต่อ-เสี่ยงผ่านงบ69
“ในขณะนี้พรรคเพื่อไทย อาจต่อรองโดยขอให้งบประมาณปี2569 ผ่านวาระสามก่อนโดยอ้างเหตุว่า เพื่อให้ประเทศเดินต่อโดยไม่หยุดชะงัก ซึ่งไม่ใช่เหตุผลที่ยอมรับได้ เพราะสภากับฝ่ายบริหารแยกจากกัน ถึงนายกรัฐมนตรี จะลาออก แต่กฎหมายงบประมาณที่ผ่านวาระหนึ่งไปแล้ว ก็ยังเดินหน้าต่อ ไม่ใช่การยุบสภาที่ สส.ต้องพ้นตำแหน่ง ไม่มีใครมาทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ”นายสมชัยระบุ
นายสมชัย เห็นว่า วินาทีของการตัดสินใจ หากนายกรัฐมนตรีไม่ยอมลาออก รวมไทยสร้างชาติ จะถอนตัวจากพรรคร่วม จึงเป็นวินาทีเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเป็นจุดจารึกชื่อนายพีระพันธุ์ว่าจะมีสถานะเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตย เช่นสมัย นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ทูลเกล้าฯ เสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงเมื่อปี พ.ศ. 2535 แต่หากเลือกที่จะอยู่กับรัฐบาลโดยแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญ ชื่อของนายพีระพันธุ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็อาจมีอีกสถานะหนึ่งในหน้าประวัติการเมืองไทย
ปชป.ยังระส่ำ”ชนินทร์”ยื่นจี้ทบทวนมติ
นายชนินทร์ รุ่งแสง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่าตนยื่นขอทบทวนปิดสวิตช์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยทำหนังสือถึง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อขอจัดประชุมทบทวนมติกรรมการบริหารพรรคที่ยังไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลโดยไม่มีเงื่อนไข ให้เปลี่ยนตัวนายกฯตามที่มีการประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้น.ส.แพทองธาร ยังสามารถมีโอกาสทำหน้าที่ต่อไปได้ ทั้งที่มีปัญหาการไม่ยอมรับจากประชาชนจำนวนมาก ทั้งเรื่องประสิทธิภาพ วุฒิภาวะ และที่สำคัญกรณีคลิปการสนทนากับอดีตผู้นำกัมพูชา ซึ่งยังมีอิทธิพลในกัมพูชา
ปชช.ไม่พอใจ-สก.ลาออกทิ้งพรรค
นายชนินทร์ย้ำว่ามติของพรรคฯที่อยู่ร่วมรัฐบาลต่อ สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อประชาชนทั่วไปและสมาชิกพรรคฯจนทำให้มีการทยอยลาออกจากสมาชิกพรรคโดยเฉพาะกรณีของนายนภาพล จิระกุล ส.ก.บางกอกน้อย ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำทุ่มเทให้กับชาวบ้านในเขตบางกอกน้อยร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์และตนซึ่งดูแลเขตพื้นที่นี่ด้วยดีมาอย่างยาวนาน
“ผมจึงเห็นว่า เรื่องนี้ยังมีเวลาสามารถนำกลับมาพูดคุยกันใหม่ เพื่อให้เกิดผลดีที่สุดต่อประเทศชาติ และความรู้สึกของคนทั้งประเทศ อีกทั้งเห็นว่าในการประชุมครั้งแรก เป็นการประชุมที่รีบร้อนเกินไปทำให้หลายท่านในกรรมการบริหารพรรคได้รับข้อมูลข้อเท็จจริง อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนไม่รอบด้านเพียงพอ ดังนั้นเพื่อให้เกิดความรอบครอบจึงควรมีการจัดประชุมพิจารณาเรื่องสำคัญอย่างยิ่งนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยผมจะได้ทำหนังสือถึงท่านหัวพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งลงนามโดยผม กรรมการบ้างท่านสก.ของประชาธิปัตย์ในหลายเขต และที่สำคัญจะมีรายชื่อของประชาชนและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์แต่ละพื้นที่ด้วยลงชื่อด้วย” นายชนินทร์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเฟสบุ๊คของ นายราชิต สุดพุ่ม สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ มี FC ตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับที่ประชาธิปัตย์ยังแบกหามนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ทำให้สมาชิกพรรคและแฟนคลับ ไม่สบายใจหนึ่งในนั้น คือ ดร.ณัฐวุฒิ ภารพบ โพสต์ว่า”ผมคิดและเดาว่า สส.ราชิต สุดพุ่ม ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี
ซึ่งนายราชิต สุดพุ่ม โพสต์ตอบว่า” ขอบคุณพี่ ดร ณัฐวุฒิ ผมไม่ได้เข้าประชุมเพราะไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคครับ ถูกต้องครับพี่ผมไม่เห็นด้วยครับ/ครั้งแรกตอนโหวตเลือกนายกผมงดออกเสียงเพราะพยายามให้ความเป็นธรรมกับว่าที่นายกฯที่ยังไม่มีความเสียหายอะไร(เสียหายของพ่อ) แต่เมื่อฟังคลิปเสียงบอกได้เลยว่าไม่เหมาะสมที่จะนำพาประเทศแล้ว ไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะเป็นผู้นำครับ”
เปิดโผ ครม.อิ๊งค์
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) “แพทองธาร 2" โดยโผครม.บางตำแหน่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยพรรคที่เสร็จแล้วทยอยส่งชื่อรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรคตนเองไปยังแกนนำรัฐบาลในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจจะมีบางตำแหน่งของบางพรรคที่ยังไม่เรียบร้อย คาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยภายในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ในส่วนของเก้าอี้รมว.กลาโหมคนใหม่ มีชื่อ “บิ๊กเล็ก”พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รมช.กลาโหม และมีชื่อพล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ อดีตผู้สมัครนายก อบจ.ลพบุรี ในนามพรรคเพื่อไทย และเป็นนักเรียนเตรียมทหารทหารรุ่นที่ 21 เคยรับราชการในพื้นที่ลพบุรี เป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ซึ่งเป็นรุ่นน้องเตรียมทหารพล.อ.ณัฐพล ที่อยู่ในรุ่น 20
ส่วนกระทรวงมหาดไทย มีชื่อนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี)มานั่งเก้าอี้ “มท. 1” ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 3 เก้าอี้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าพรรค ยังคงนั่งในตำแหน่งเดิม ส่วนนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข สลับมานั่งเก้าอี้รมช.มหาดไทย และมีชื่อ นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช นั่งเก้าอี้รมช.สาธารณสุข
ด้านพรรคกล้าธรรม ที่มีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานที่ปรึกษาพรรค มีแนวโน้มเสนอชื่อนายอรรถกร ศิริลัทธยากร สายตรงร.อ.ธรรมนัส เข้ารับตำแหน่ง รมช.เกษตรและสหกรณ์ แทน นายอิทธิ ศิริลัทธยากร ผู้เป็นพ่อ สำหรับนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ยังคงอยู่ในตำแหน่งรมว.เกษตรและสหกรณ์ เหมือนเดิม และมีแนวโน้มว่าพรรคกล้าธรรมจะได้รัฐมนตรีเพิ่มอีก 1 ตำแหน่งด้วย
รทสช.ไม่เคลื่อนไหว
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า สำหรับความเคลื่อนไหวในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)ได้ทั้งหมด 4 เก้าอี้เหมือนเดิม โดยพรรคแกนนำรัฐบาลแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคด้วยการตัด 1 เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยฯจากเดิมเป็นโควตากลาง แก้ปัญหาด้วยการตัด 1 เก้าอี้ในส่วนนี้ให้เป็นโควตากลุ่ม 18 ของนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ และรองหัวหน้าพรรค
โดยแบ่งเป็น 2 เก้าอี้ คือ ฝั่งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรค ส่วนอีก 2 เก้าอี้ เป็นของกลุ่ม 18 ของนายสุชาติ เพราะมีเสียงเท่ากัน 18 เสียง โดยมีชื่อคนนอก นายจตุพร บุรุษพัฒน์ หรือ “ปลัดตุ๋ม” ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ เป็นโควตากลุ่ม 18 นั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมาแกนนำกลุ่ม 18 เดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า
เพื่อนำรายชื่อรัฐมนตรีในส่วนโควตาของกลุ่มเข้าหารือกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า
ทั้งกลุ่ม 18 และกลุ่มของนายพีระพันธุ์ ยื่นข้อเสนอขอควบตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี