เรียกได้ว่า ในช่วงแรกออกอาการเจ็บหนักถึงขั้นสะบักสะบอมไปเลยทีเดียว สำหรับ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย หลังจากที่มีการปล่อยคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา และอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ออกมาให้สังคมได้รับรู้โดยทั่วกัน
สิ่งที่ควรจะเป็นความลับหลังไมค์ กลายเป็นเรื่องที่ใครก็รู้ ซึ่งมันชัดแจ้งถึงท่าทีที่อ่อนน้อมของนายกฯไทย ที่มีต่อผู้ยิ่งใหญ่ในฝั่งกัมพูชา ที่เรียกได้ว่า ยอมทุกอย่าง อยากได้อะไรก็ขอให้บอก ในช่วงที่ไทยและกัมพูชามีประเด็นขัดแย้งกัน
คลิปเสียงที่หลุดออกมานั้นได้สร้างกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงในสังคมไทย มีเสียงเรียกร้องจากหลายๆ ฝ่ายให้นายกฯ เจนวาย แสดงความรับผิดชอบจากคำพูดของตนเอง
บางฝ่ายต้องการให้ลาออก แล้วเปิดทางให้คนอื่นเข้ามาเป็นนายกฯ แทน บางฝ่ายก็ขอให้ยุบสภาฯ คืนอำนาจให้ประชาชนได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพื่อเฟ้นหาผู้นำคนใหม่
บ้างก็เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวออกมาจากการทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพื่อแสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรี
เรียกว่าตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ ฝั่งนายกฯอิ๊งค์และทีมงานตั้งตัวกันแทบไม่ทัน ได้แต่คอยตั้งรับปัดป้องกระแสโจมตีที่ถาโถมเข้าใส่ จนถูกมองว่า ไม่น่าไปต่อได้ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมทั้งอาจมีผลกระทบสั่นสะเทือนไปถึงความมั่นคงของรัฐบาลชุดนี้อีกด้วย
ก็คิดกันว่า นายกฯ แพทองธาร อาจเลือกทางที่เจ็บน้อยที่สุด ด้วยการเสียสละตัวเองออกจากตำแหน่งเพื่อให้พรรคเพื่อไทยยังคงเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนการยุบสภาฯ ก็ดูจะเสี่ยงเกินไป เพราะในขณะที่กระแสความนิยมของเพื่อไทยลดลง แต่ของค่ายอื่นๆ กลับขยับขึ้นสวนทางกัน อันเนื่องมาจากกรณีคลิปเสียงดังกล่าว
สุดท้าย แพทองธาร เลือกที่จะสู้ต่อ
ดังนั้น สิ่งที่ทำอย่างเร่งด่วนก็คือ การแก้ไขสถานการณ์ในส่วนที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยให้ทุเลาลง
โดยนายกฯ ได้แถลงข่าวขออภัยประชาชนในกรณีที่มีคลิปเสียงที่คุยกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และทำให้เกิดความไม่สบายใจ และได้คุยกับกองทัพและ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว และกองทัพก็รับฟัง วันนี้ไม่มีเวลามาทะเลาะกันเอง เราต้องร่วมปกป้องอธิปไตยของเราไว้ รัฐบาลยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราตั้งใจทำร่วมกัน
ต่อมา นายกฯ ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจเยี่ยมให้กำลังใจ กำลังพลกองกำลังสุรนารี และมอบสิ่งของบำรุงขวัญ ที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งในครั้งนี้ นายกฯ ได้กล่าวขอโทษแม่ทัพภาคที่ 2 อย่างเป็นทางการหลัง หลังกล่าวพาดพิงในคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ทำให้สถานการณ์ที่ดูตึงเครียดได้บรรเทาเบาบางลง
ในส่วนของการเมือง หลังพรรคภูมิใจไทยประกาศแยกทางกับเพื่อไทย จากพรรคร่วมรัฐบาลออกไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน ก็ทำให้เพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลต้องปรับกระบวนทัพกันใหม่ เพราะอยู่ในสถานการณ์เสียง สส.เกินระดับปริ่มน้ำไปไม่มาก ดังนั้นจึงต้องเร่งเติมเสียงให้ขึ้นมาอยู่ในโซนปลอดภัยให้อุ่นใจเสียก่อน
จะตกรางวัลกันอย่างไรก็เป็นรายละเอียดของแต่ละพรรค แต่ละก๊วนที่จะตกลงกัน ก็อาจเป็นทีของพรรคเล็กๆ บ้าง
โดยพรรคเพื่อไทยระบุถึงเหตุผลที่นายกฯ และรัฐบาลต้องอยู่ต่อ ก็เพื่อเร่งเดินหน้ายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม รวมถึง ร่าง พ.ร.บ.สถาบันบันเทิงครบวงจร รวมทั้งกฎหมายเพื่อพี่น้องประชาชนชาวไทยอีกหลายประการ
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะได้รับการแก้ไขเฉพาะหน้าจนผ่านพ้นไปได้ พรรคเพื่อไทยนำรัฐบาลเดินหน้าต่อ แต่จะไปได้อีกนานเท่าไหร่ ก็ยังต้องรอดูคำตอบกัน เพราะตอนนี้สถานการณ์ต้านรัฐบาลก็ยังไม่นิ่ง ยังคงมีท่าทีที่แข็งกร้าวจากกลุ่มที่ไม่พอใจการบริหารงานของนายกฯ ที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนในหลายพื้นที่ของประเทศไทยที่พร้อมเดินหน้าขับไล่ และการยื่นถอดถอนนายกฯ ออกจากตำแหน่งเพราะเห็นว่าไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว รวมทั้งยังมีสิ่งที่สะท้อนถึงความเสื่อมศรัทธาต่อรัฐบาลชุดนี้ของประชาชนที่แสดงออกมาในโลกออนไลน์
ประเด็นเรื่องคลิปเสียงในครั้งนี้ถือเป็นแผลลึกเลยก็ว่าได้ ซึ่งผู้คนจะจดจำเรื่องนี้ไปอีกยาวนาน ดังนั้น จะเป็นสิ่งที่คอยเตือนให้นายกฯ และรัฐบาลชุดนี้ต้องทำงานให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุดเพื่อพิสูจน์ว่า สิ่งที่พร่ำพูดว่าทำเพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาตินั้นเป็นเรื่องจริง
แต่สุดท้ายนั้น ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินเอง
ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี