สถานการณ์การเมืองไทย‘รัฐนาวาแพทองธาร’ผ่านช่วงกลางปี 2568 กลับทวีร้อนแรงอย่างรวดเร็ว เมื่อพรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาล ส่งผลให้รัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กลายเป็น"รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ"อย่างเต็มรูปแบบ ยังเดินหน้าบริหารประเทศต่อไป หลังมีเก้าอี้รัฐมนตรีว่าง 8 ตำแหน่ง แบ่งเป็น 4 รัฐมนตรีว่าการ และ 4 รัฐมนตรีช่วยว่าการ ที่ล้วนเป็นตำแหน่งหลักของกระทรวงใหญ่ ทั้ง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
ทุกสายตาต่างจับตามอง รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ ฉะนั้น การปรับครม.’อิ๊งค์’2 ครั้งใหญ่นี้ ไม่ใช่เพียงการสับเปลี่ยนเก้าอี้ แต่เป็นการเดินเกมเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลไว้ให้ได้มากที่สุด แน่นอนจุดยืน ชุดเจน ณ วันนี้ นายกฯแพททองธาร ไม่มีวันลาออกและไม่ยุบสภา เพื่อคืนอำนาจประชาชนในการเลือกตั้งแน่นอน
ดังนั้นจะต้องรีบจัดสรรแบ่งเค้กเก้าอี้รัฐมนตรีให้พรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังสนับสนุนรัฐบาลเช่นพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคกล้าธรรม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคเล็กอื่นๆอาจเป็นความพยายามในการต่ออายุทางการเมืองให้มีอายุ เพื่อแลกให้มีเสียงเป็นเอกภาพ
โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ หวังเข้ามาคุมกระทรวงมหาดไทยตามที่ นายใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯได้ประกาศเอาไว้ พรรคเพื่อไทยต้องเอามาดูแล เพราะเหลืออีก 2 ปี จะต้องเร่งสร้างผลงาน และเตรียมล้างบางวางคนของตัวเอาเพื่อเตรียมพร้อมการเลือกตั้งสมัยหน้า ถึงวันนี้ก็ถือว่าสมใจตามที่ต้องการแล้ว
หากประเมินตามกลไกระบบรัฐสภา รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำจะเผชิญความยากลำบากในการผลักดันกฎหมาย อย่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2568 ที่อยู่ขั้นแปรญัตติในสภา รวมกฎหมายสำคัญ ร่างพรบ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร”หรือ ร่างกฎหมายกาสิโน ที่จะเจอกระแสต่อต้านอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ หากเกิดเสียงคัดค้านในสภาและถูกคว่ำร่างฯ เสถียรภาพของรัฐบาล จะสั่นคลอนอย่างทันที
นอกจากนี้ อีกไม่นานเดือนกรกฎาคม สภาผู้แทนราษฎรจะเปิดสมัยประชุมขึ้นแล้ว พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยกระดับการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องโดยใช้เวทีสภาเป็นเครื่องมือในการกดดันและรอจังหวะเหมาะสมเพื่อยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือ เดินหมากยื่นตีความถอดถอนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170
และสิ่งสำคัญ ถึงแม้นายกฯแพทองธาร ลุยต่อไป ยังต้องเผชิญกับปมร้อนสำคัญ“คลิปเสียงสนทนา”กับสมเด็จฮุนเซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยมีกระแสรุมเร้าและแรงกดดัน
เพราะ“คลิปสนทนากับสมเด็จฮุนเซน”ถูกมองว่าอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรือผิดจริยธรรมร้ายแรงหากพบว่า มีการใช้อำนาจ หรือเปิดเผยข้อมูลความมั่นคงระหว่างประเทศโดยมิชอบ ขณะนี้สมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรีต่อประธานวุฒิสภาซึ่งได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และส่งให้ป.ป.ช.เอาผิดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ปัญหานี้ไม่เพียง แต่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนจุดอ่อนของการเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ไร้ประสบการณ์ภาคสนามในเชิงการบริหารและการทูตระหว่างประเทศ
ส่งผลให้ นายกฯแพทองธาร จะต้องลุ้นในการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะพิจารณารับคำร้องกรณีคลิปเสียงหลุดตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป หากมีมติรับ จะติดตามว่าศาลฯจะสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ด้วยหรือไม่
และเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) ได้ประชุมพิจารณาประเด็นคลิปเสียงสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จฮุนเซนได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับตรวจสอบเบื้องต้น การกระทำดังกล่าว เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
โดยให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นถอดเทปสนทนาพร้อมคำแปลภาษากัมพูชาให้ถูกต้อง สอบพยานผู้เกี่ยวข้อง โดยศึกษาข้อกฎหมาย เทียบเคียงกับคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน รวมทั้งไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าศาลรัฐธรรมนูญได้มีการรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้วหรือไม่ โดยให้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงภายใน 10 วัน
จากนี้ไป นายกฯแพทองธาร จะต้องลุ้นระทึก ผลการพิจารณาของทั้งสององค์กรอิสระไม่รู้จะต้องเผชิญปัญหาเหมือนกับอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน หรือไม่
อีกทั้งในช่วงนี้กระแสเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนรวมตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะจากกลุ่มพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ประกอบด้วยนักวิชาการ ภาคประชาชนและภาคประชาสังคมเครือข่ายต่างๆที่ไม่พอใจต่อพฤติกรรมและจุดยืนของรัฐบาล แพทองธาร จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิด"ความชอบธรรมในการเคลื่อนไหว" จากกรณีคลิปเสียงสนทนา นายกฯอิ๊งค์ คุยกับ สมเด็จฮุนเซน ที่ถูกมองว่า อาจมีการละเมิดอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ โดยมีเสียงเรียกร้องปลุกขับไล่ให้ลาออกมีอย่างต่อเนื่อง ต้องจับตาการนัดรวมพลังแผ่นดินชุมนุมใหญ่ในวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายนนี้ ตั้งแต่เวลา 16.00น.-21.00น.ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
หากการชุมนุมครั้งนี้มีประชาชนเข้าร่วมกันเนืองแน่นล้นหลามจะถือเป็นการแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ในรอบหลายปี ถ้ากระแสจุดติด มีการขยายชุมนุมเชิงสัญลักษณ์อย่างต่อเนื่อง หรือ ยกระดับไปสู่ชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ในรูปแบบยืดเยื้อ
แม้การโค่นล้มรัฐบาลผ่านการชุมนุมจะยังไม่เกิดขึ้นทันที หากย้อนประวัติศาสตร์การเมืองไทยในช่วง2ทศวรรษที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนสามารถโค่นล้มรัฐบาลได้ หากมี“ปัจจัยเงื่อนไข”ที่พร้อมเพรียงกันจากทุกภาคส่วนผนึกกันอย่างเข้มแข็ง ได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นกลางและกลุ่มทุนเดิมที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาล โอกาสที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง อาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าคาด
ฉะนั้น การปรับครม.ใหญ่ครั้งนี้ อาจจะทำให้รัฐบาลสามารถประคับประคองต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง
ต้องยอมรับว่า รัฐบาลแพทองธารยังอยู่ได้ แต่อยู่ในสภาพที่รอปัจจัยภายนอกรุมเร้ารอบด้านมากมายทั้งปัญหาเศรษฐกิจย่ำแย่ เรื่องปากท้องและปัญหาชายแดนไทย เขมร โดยปัญหาเฉพาะตัวนายกฯแพงทองธารที่เกดขึ้นกลายเป็นแรงจุดระเบิดตัวเร่งสถานการณ์ความไม่ยอมรับร้อนแรง
เพราะผู้นำรัฐบาลอย่าง แพทองธาร สูญเสียความชอบธรรมในสายตาประชาชนอย่างถาวรไปแล้วและในการบริหาร ยิ่งไปกว่านั้น หากการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และป.ป.ช.มีผลการตัดสินตามความผิดในข้อกฎหมายที่กระทบต่อตัวนายกรัฐมนตรีโดยตรงก็จะยิ่งเร่งกระบวนการสิ้นสุดของรัฐบาลให้รวดเร็วขึ้น "จุดจบทางการเมือง"ของรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำนี้ก็อาจมาถึงเร็วกว่าที่คิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี