ไม่มีเริ่มสักมาตรการ! "โรม"หยัน"นายกฯ"ประกาศปราบเชิงรุก"อาชญากรรมข้ามชาติกัมพูชา" แค่"คุมด่าน"ไร้ความคืบหน้า เล่นใหญ่สัปดาห์หน้าเชิญ"แพทองธาร"แจงปมคลิปเสียงหลุด"อังเคิลฮุน" ขู่หากโดนเมินเจอ"พ.ร.บ.อำนาจเรียก"
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศสภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุม กมธ.ฯ ที่มีการพิจารณาเรื่องปัญหาพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ว่า เบื้องต้นมาตรการตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมัน เป็นมาตรการที่มีต้นแบบจากฝั่งเมียนมา ขณะนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการอะไรเลย เช่น เรื่องไฟที่มีการจ่ายไฟให้ 9 จุด สมช.แจ้งว่าทางกัมพูชาเป็นคนตัดไฟเอง ซึ่งเบื้องต้นไฟทั้ง 9 จุด ไม่ได้ไหลไปยังกัมพูชาแล้ว ส่วนอินเทอร์เน็ตยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด ซึ่ง สมช.ยังไม่ได้รับรายงานจาก กสทช. ในส่วนของน้ำมันถ้าเป็นในเรื่องยานพาหนะไม่สามารถที่จะขนถ่ายน้ำมันจากประเทศไทยไปกัมพูชาได้ เพราะด่านถูกปิด ส่วนการขนส่งทางเรือยังสามารถทำได้อยู่ เพราะไทยไม่ได้มีมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันไปยังกัมพูชา น้ำมันที่ไปไม่ได้ก่อนหน้านี้เพราะด่านปิด
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น หลังจากที่นายกรัฐมนตรีแถลงว่าจะมีมาตรการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้มีการเริ่มต้นในมาตราการเชิงรุก ซึ่งเรื่องนี้กรรมาธิการค่อนข้างแปลกใจว่าไม่มีความคืบหน้าเลย ความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมที่สุดที่มีมาตรการออกมาจากทางรัฐบาลคือการปิดด่านเท่านั้น
เมื่อถามถึง กรณีที่ปรากฎภาพเรือน้ำมันขนส่งไปยังกัมพูชา แสดงว่าทางกัมพูชายังมีการสั่งซื้อน้ำมันอยู่ใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ไม่สามารถลงรายละเอียดได้คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องธุรกิจระหว่างบริษัท แต่เท่าที่ตนเองจะตอบได้คือ ปัจจุบันเราไม่ได้มีคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมัน จึงไม่ได้มีมาตรการอะไรที่จะควบคุมบริษัทเอกชนที่จะส่งออกน้ำมันไปที่กัมพูชาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า น้ำมันจากที่เคยไปทางบกได้ก็ไปไม่ได้ เพราะด่านถูกควบคุมอาจจะทำให้การขนส่งน้ำมันระหว่างประเทศไทยไปกัมพูชาต้องใช้ช่องทางอื่น สิ่งที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะมีมาตรการทำนองเดียวกันกับทางฝั่งเมียนมา คือ ตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมันยังไม่ได้เริ่มต้น และยังไม่ได้มีเวลาที่กำหนดออกมา
เมื่อถามว่า แสดงว่าจะไม่มีการยกระดับมาตรการนี้มาใช้เลยใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนเองไม่สามารถสรุปแบบนั้นได้ เบื้องต้นสมช.ชี้แจงชัดเจนว่ามีการดำเนินการแบบนั้นในเรื่องของการตัดเน็ต ตัดไฟ และน้ำมัน แต่ไม่ได้ระบุวันว่าจะเป็นเมื่อไหร่ ซึ่งอาจจะอยู่ในช่วงของการประเมิน เพื่อกำหนดแผนอย่างรอบคอบ
เมื่อถามถึงกรณีกระทรวงการต่างประเทศได้มีการชี้แจงเรื่องการเตรียมการขึ้นศาลโลกอย่างไรบ้าง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กมธ.ค่อนข้างพอใจที่ได้รับรู้ และเห็นถึงการเตรียมความพร้อม ซึ่งตนเองไม่สามารถลงรายละเอียดได้ เพราะข้อมูลหลายส่วนที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน แต่อย่างไรก็ตามต้องอยู่บนจุดที่เราไม่ประมาทในเรื่องที่กัมพูชาพยายามชักจูงให้ไทยไปศาลโลก
เมื่อถามถึงกลวิธีที่ใช้เช่นเดียวกับกรณีของเขาพระวิหารหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ใช่ แต่สิ่งที่ทีมไทยแลนด์ และกองทัพต้องระวังอย่างยิ่ง คือทางกัมพูชาอาจจะพยายามจุดชนวนให้เกิดความรุนแรง และเมื่อเกิดความรุนแรงจะอาศัยความชอบธรรมตรงนี้ที่จะพาประเทศไทยไปศาลโลก ซึ่งตอนนี้เราต้องระวังเป็นอย่างมาก เพื่อไม่ให้กัมพูชาได้ในสิ่งที่ต้องการ
"การที่ผมพูดว่ากัมพูชาเราหมายถึงรัฐบาลกัมพูชา ยืนยันว่าพี่น้องคนกัมพูชาทั่วไป ไม่สมควรที่จะได้รับผลกระทบหรืออยู่ท่ามกลางความขัดแย้งนี้เลย คนไทยก็เช่นเดียวกัน วันนี้ต้องใช้คำว่าเป็นปัญหาระหว่างรัฐบาลกัมพูชา และรัฐบาลไทย" นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า วิธีที่รัฐบาลกัมพูชาใช้อาจจะไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ กมธ.ได้มีการแนะนำกระทรวงการต่างประเทศอย่างไรบ้าง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรามีข้อแนะนำหลายอย่าง ซึ่งเราให้ความสำคัญกับเรื่องแก๊งคลอเซ็นเตอร์ซึ่งคิดว่าเราน่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีมากๆ จากต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งจากข่าวสหรัฐพร้อมที่จะร่วมมือกับไทย เป็นต้น รวมถึงการทำงานเชิงรุกทางการทูตที่ต้องเพิ่มมากยิ่งขึ้น
นายรังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า กมธ.จะมีการพิจารณาข้อมูลของนักการเมืองชาวกัมพูชาที่ถูกฆาตกรรมในไทย ซึ่งมีคลิปเสียงออกมาว่านักการเมืองผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งของกัมพูชาได้เป็นคนสั่งให้มีการลอบสังหาร นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้วยังมีการพิจารณาคลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีไทยที่มีการพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน ด้วย เรื่องนี้กรรมาธิการต้องการคำอธิบายจากนายกรัฐมนตรี โดยในสัปดาห์หน้าจะมีการเชิญนายกรัฐมนตรี คิดว่าไม่น่าจะมีใครชี้แจงแทนได้ เพราะมีการบอกว่าสถานการณ์ตรงนั้นมีไม่กี่คนที่ล่วงรู้ รวมถึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาด้วย ร่วมกับ สมช. , ผบ.ตร.และผู้ลี้ภัยอีก 2 คน ที่เป็นผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ เพื่อยืนยันว่ามีความพยายามที่จะลอบสังหารฝ่ายที่เห็นต่างทางการเมืองของกัมพูชาบนแผ่นดินไทยจริง ดังนั้น นี่คือการล่วงละเมิดอำนาจอธิปไตยของประเทศไทยที่มีความร้ายแรง
เมื่อถามว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่เดินทางมาให้ข้อมูลจะทำอย่างไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กำลังพิจารณาในเรื่องของการใช้อำนาจเรียก แต่เบื้องต้นก็อยากจะขอความร่วมมือ
"หากนายกรัฐมนตรี เป็นไปอย่างที่ชี้แจงไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรเลย ผมคิดว่ากรรมาธิการ และตอบคำถามกรรมาธิการ อย่างตรงไปตรงมา ว่าเกิดอะไรขึ้นผมคิดว่าเป็นเรื่องที่นายกพึงกระทำ" นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีกลไกอื่นอีกหรือไม่ที่จะตรวจสอบนายกรัฐมนตรี นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กลไกในการตรวจสอบมีหลายกลไก หนึ่งในนั้นก็คือชั้นกรรมาธิการหรือมากไปกว่านั้นอาจจะเป็นการตั้งกระทู้ถามในสภาหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็เป็นเรื่องที่พรรคฝ่ายค้านกำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งเข้าใจว่ามีข้อเสนอที่แตกต่างกันอยู่ มีทั้งข้อเสนอให้ลาออกและยุบสภา ซึ่งต้องมีการพูดคุยกันในฝ่ายค้าน
เมื่อถามว่า กรณีที่มีการรอบข้างฝ่ายค้านของกัมพูชา จะสาวไปถึงได้มากแค่ไหนเพราะเหมือนกับว่าฝ่ายเราจะเอื้อประโยชน์ให้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เมื่อฝ่ายกัมพูชาหาคลิปเสียงพิสูจน์ได้ก็ต้องมีการดำเนินการ และพิจารณาว่าควรใช้เครื่องมือทางกฎหมายอย่างไรบ้าง ส่วนในประเทศไทยหากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องหรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองก็ต้องดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบ
เมื่อถามถึงเรื่องคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีและสมเด็จฮุน เซน การทำงานของ กมธ.ฯ จะทับซ้อนกับองค์กรอิสระหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คิดว่าเป็นคนละส่วนเพราะเราเป็นฝ่ายการเมืองใช้กลไกสภา หากสภาไม่ทำหน้าที่ถือว่าเป็นเรื่องประหลาด
เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศกังวลหรือไม่หากกัมพูชานำข้อพิพาทขึ้นศาลโลก หรือมีประเด็นใดที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ภาพรวมกระทรวงการต่างประเทศค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่ไปถึงจุดนั้น เพราะเราเน้นย้ำมาตลอดว่าเราไม่รับเขตอำนาจศาลโลก และมองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะไปสู่ศาลโลกไม่ได้ ข้อสำคัญคือ กระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล และกองทัพ ต้องทำงานให้เป็นเนื้อเดียวกัน
เมื่อถามว่า กระทรวงการต่างประเทศได้มีการชี้แจงหรือไม่ว่าจะไปประเทศใดบ้าง เพื่อทำความเข้าใจ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ทำไปพอสมควร ซึ่งต้องชื่นชมอธิบดีโดยทาง กมธ.ฯ ต้องทำงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศมากกว่านี้ เราอยากให้ความร่วมมือกับ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนี้นักวิชาการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ถ้านายมาริษได้ยินกับหูถือว่าเป็นประโยชน์แน่นอน ซึ่งมีข้อเสนอที่ดีมากๆ แต่ตนเองไม่สามารถเปิดเผยได้ และในที่ประชุมนักวิชาการเอง ก็ได้ประเมินว่าไทยยังอยู่ในจุดที่ดี ไม่คิดว่าจะขึ้นการพิจารณาสู่ศาลโลกได้ง่าย แต่ก็อย่าประมาท และคิดว่ากรณีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุน เซน ก็ไม่น่าเกี่ยวข้องกับการขึ้นศาลโลก
เมื่อถามว่า หน่วยงานที่มาชี้แจงได้มีการพูดถึงการยกระดับมาตรการตามแนวชายแดนหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่าเบื้องต้น สมช.ตอบได้ไม่มาก ซึ่งก็เป็นไปตามมาตรการที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมาย แต่ปัญหาคือนโยบายที่ได้รับมาไม่มีความคืบหน้า และคิดว่าเร็วๆ นี้คงจะยังมีการยกระดับมาตรการ แต่ธงหลักของเราคือต้องการพูดคุยแบบทวิภาคีส่วนตัวเห็นว่า หากมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการพูดคุยแบบทวิภาคีเกิดขึ้นแล้ว และมีประสิทธิภาพ ตนเองก็อยากเสนอว่าให้กำหนดระยะเวลาการพูดคุยเรื่องเขตแดนกับกัมพูชาว่าจะต้องจบในกี่ปี
"ขอย้ำว่าทุกมาตรการที่ดำเนินการอยู่ไม่ได้อยากทำร้ายคนกัมพูชา แต่เรามีการตอบโต้ทางการทูตหรือการปิดด่านซึ่งฝั่งกัมพูชาก็เป็นฝ่ายปิดก่อน เช่น ด่านกาสิโน เขาไม่ปิดพูดง่ายๆ คือ อะไรที่เขาได้ประโยชน์เขาไม่ปิด อะไรที่เราได้ประโยชน์เขาพยายามปิดตรงนั้น ทำให้เกิดการตอบโต้ เราพยายามไปแก้ปัญหาเรื่องคอลเซ็นเตอร์ ตนเชื่อว่าจะเป็นอาวุธหลักของเราในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่ระหว่างไทยกับกัมพูชา" นายรังสิมันต์ กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี