กต.โต้‘ฮุนเซน’
เขมรศูนย์กลางสแกมเมอร์
‘สม รังสี’ตามลากไส้ไม่ยั้ง
“ผู้ช่วย รมต.กต.” ชี้ไลฟ์สดผู้นำเขมรแทรกแซงกิจการภายในของไทยขัดหลักการอาเซียน-ระหว่างประเทศ ไม่คู่ควรต้องชี้แจงใดๆ แนะไปตอบคำถาม “ศูนย์กลางสแกมเมอร์” กับประชาคมโลก-สงสัยเป็นเดือดเป็นร้อนแทนบางพรรคการเมือง ด้าน “สม รังสี” อดีตผู้นำ ฝ่ายค้านเขมร ลากไส้ “ฮุนเซน” ไม่ได้รักชาติ แต่กลัวรายได้หาย-ระบอบล่ม
เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่อดีตผู้นำกัมพูชาออกมาไลฟ์สดโจมตีรัฐบาลไทย และประเทศไทย เมื่อวันที่ 27 ม.ค. โดยมีข้อสังเกตว่า ทั้งคำพูดล่าสุด และก่อนหน้าของผู้นำกัมพูชา ถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการกล่าวโจมตี เพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ที่มีจุดมุ่งหมายให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล (Regime Change) อย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งขัดต่อทั้งหลักการของกฏหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งหลักการของอาเซียนด้วย
ไล่ไปแจงปมศูนย์กลางสแกมเมอร์
ส่วนที่เกี่ยวกับการเป็น “ศูนย์กลางของอาชญากรรมผิดกฏหมายขนานใหญ่” ในภูมิภาคของกัมพูชานั้น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า ได้มีการระบุข้อมูลโดยหน่วยงานของสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime- UNODC) หน่วยงานอิสระอย่าง Amnesty International ตลอดจนสื่อสำนักข่าวระดับโลกต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นข้อมูลจากมิตรประเทศระดับมหาอำนาจ ซึ่งหากกัมพูชาปฏิเสธว่าไม่จริงควร ก็ไปชี้แจงกับหน่วยงานต่าง ๆ และประเทศเหล่านั้นเอง โดยไม่ต้องมาบอกไทย
นายรัศม์ ยังกล่าวถึงประเด็นข้อกล่าวหา หรือคำกล่าวโจมตีอื่น ๆ ของฝ่ายกัมพูชาโดยเชื่อมั่นว่า ประชาคมโลก ตลอดจนผู้มีความรู้ทั่วไป ย่อมสามารถใช้วิจารณญาณ เพื่อพิจารณาได้เองว่าความจริงเป็นเช่นไร ซึ่งจริง ๆ แล้ว ตนเห็นว่า แทบไม่มีแก่นสารใด ๆ ที่มีค่าคู่ควรต่อการชี้แจง
“ไม่น่าเชื่อว่า ผู้นำต่างประเทศ จะเจ็บร้อนแทน ถึงขั้นอธิบายปกป้อง พรรคใดพรรคหนึ่งของอีกประเทศ ขอตั้งข้อสังเกตุว่า มีผลประโยชน์ทางการเมืองร่วมกันในเรื่องใด” นายรัศม์ กล่าว
ฉลอง74ปีพรรคปชช.กัมพูชา
หลังสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา กล่าวถ้อยแถลงนานหลายชั่วโมงเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ประกาศตัดความสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตร และเปิดประเด็นแฉในหลายเรื่อง ซึ่งคนไทยรอฟังทั้งประเทศ แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนจะไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นเรื่องใหม่เท่าใดนัก
พนมเปญโพสต์รายงานว่า ในวันที่ 28 มิถุนายน สมเด็จฯฮุน เซน และสมเด็จฯฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรักัมพูชา ได้เข้าร่วมงานฉลอง 74 ปีของการก่อตั้งพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP0
ทั้งนี้ พรรคประชาชนกัมพูชา เป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของกัมพูชา และเป็นพรรคที่ครองตำแหน่งรัฐบาลของกัมพูชามาอย่างยาวนาน สมาชิกคนสำคัญของพรรคได้รวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 74 ปีแห่งการก่อตั้งพรรค ซึ่งตั้งขึ้นในวันที่ 28 มิถุนายน 1951 ทำให้มีอายุครบ 74 ปีในวันนี้
พิธีเฉลิมฉลองจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในที่ทำการใหญ่ของพรรค ที่มีชื่อว่า “พระราชวัง 7 มกรา” โดยมีสมเด็จฯฮุน เซน เป็นประธาน พร้อมด้วยนายเฮง สำริน ประธานกิตติมศักดิ์ของพรรค และประธานพรรค รวมถึงรองประธานพรรคทั้งห้าคน ได้แก่ เซย์ ชุม, ซา เคง, เตีย บันห์, เมน ซัมอัน และ ฮุน มาแนต
“สม รังสี”ซัดแค่กลัวระบอบล่ม
ทางด้าน สม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ออกมาเคลื่อนไหวกรณีท่าทีของ สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่มีต่อประเทศไทย โดยโพสต์แถลงการณ์ ผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า แถลงของ สม รังสี หัวหน้าฝ่ายค้านกัมพูชา การที่ ฮุน เซน แสดงความโกรธต่อประเทศไทยไม่ใช่การแสดงความรักชาติ แต่เป็นปฏิกิริยาส่วนตัวและทางการเมืองที่หยั่งรากลึกในความกลัวเขากำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับการล่มสลายของระบอบการปกครองที่พัวพันอย่างลึกซึ้งกับเครือข่ายอาชญากรระดับนานาชาติ
ความโกรธแค้นของ ฮุน เซน ที่มีต่อประเทศไทยในปัจจุบันไม่ได้เกิดจากความภาคภูมิใจในชาติ แต่มาจากภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นต่อแหล่งรายได้ผิดกฎหมายที่หล่อเลี้ยงอำนาจของเขา นั่นคือแก๊งอาชญากรที่ถูกควบคุมโดยมาเฟียจีนและดำเนินการตามแนวชายแดนกัมพูชา
ปัจจุบัน แก๊งเหล่านี้กำลังเผชิญกับการปราบปรามที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจากทางการไทย วาทกรรมต่อต้านไทยของ ฮุน เซน เป็นเพียงฉากบังตาทางการเมืองเท่านั้น ในขณะที่การนำเสนอพื้นที่พิพาทดังกล่าวว่าเป็นความขัดแย้งทางประวัติศาสตร์และศักดิ์ศรีของชาติ
เงินจากการหลอกลวงมูลค่ามหาศาล
แท้จริงแล้วแรงจูงใจเบื้องหลังความขุ่นเคืองของเขาคือ ความพยายามร่วมกันของประเทศไทยในการยุติการดำเนินการหลอกลวงทางไซเบอร์ที่ดำเนินการโดยจีน ซึ่งมีฐานอยู่ในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่กลายมาเป็นแหล่งเงินทุนผิดกฎหมายที่สำคัญสำหรับระบอบการปกครองของพนมเปญในปัจจุบัน
การหลอกลวงเหล่านี้คาดว่าจะสร้างรายได้มากกว่า 12,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของกัมพูชา และได้รับการปกป้องโดยผู้มีอิทธิพลภายในรัฐกัมพูชา รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของฮุน เซน เอง
ด้วยแหล่งรายได้แบบดั้งเดิม เช่น การแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และการให้สัมปทานที่ดิน ซึ่งหมดลงจากการทุจริตอย่างเป็นระบบมาหลายปี ระบอบการปกครองนี้จึงพึ่งพาองค์กรอาชญากรรมเหล่านี้มากขึ้นเรื่อย ๆ และการปราบปรามของประเทศไทยถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเส้นเลือดใหญ่ทางการเงินนี้
ใช้วิธีเก่าปลุกปั่นต่อต้านไทย
ในการตอบสนองต่อไทย ฮุน เซน ได้ใช้ความรู้สึกชาตินิยมอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนและรวบรวมแรงสนับสนุน กลวิธีนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากย้อนไปในปี 2546 ฮุน เซนได้ปลุกปั่นความรู้สึกต่อต้านไทย หลังจากเกิดการทะเลาะวิวาทที่แต่งขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักแสดงหญิงชาวไทย จนนำไปสู่การจลาจลในกรุงพนมเปญจนมีผู้เสียชีวิต
ในปี 2554 เขาใช้ความขัดแย้งบริเวณชายแดนที่ปราสาทพระวิหารเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความไม่พอใจในประเทศ ในทั้งสองกรณี ลัทธิชาตินิยมทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการปกปิดความเปราะบางทางการเมือง สิ่งนี้เผยให้เห็นความโกรธแค้นแบบเลือกปฏิบัติของเขา
ฮุน เซน กล่าวประณามประเทศไทยอย่างเปิดเผย ในทางกลับกันเขานิ่งเงียบอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับปัญหาดินแดนที่ละเอียดอ่อนซึ่งเกี่ยวข้องกับเวียดนาม ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ของกัมพูชามาอย่างยาวนาน แม้ว่าชาวกัมพูชาจะมีความกังวลมานานมากแล้วก็ตาม
โดยสรุป การระเบิดอารมณ์ของฮุน เซนไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปกป้องอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของการรักษาเครือข่ายการเงินที่ฉ้อฉลซึ่งช่วยให้ระบอบการปกครองของเขาสามารถดำเนินต่อไปได้
ประชาคมระหว่างประเทศจำเป็นต้องสนับสนุนความพยายามในการรื้อถอนเครือข่ายอาชญากรรมเหล่านี้ แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพนมเปญก็ตาม
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี