แฉสั่งแบนสินค้าไทยแค่ลมปาก
‘ฮนเซน’หัวหมอ
ให้นำเข้าผ่านทางพ่อค้าลาวแทน
โพลล์ซัดบุคคลไม่น่าไว้วางใจ
‘โรม’กำชื่อตัวเป้งแก๊งคอล

“โรม-เท้ง” ยกคณะลงพื้นที่ชายแดนสระแก้ว ชี้แก๊งคอลฯ-ค้ามนุษย์ยังรุนแรงพบร่องรอยขุดดินมุดข้ามฝั่งเพิ่งกลบหมาดๆสงสัยตึกฝั่งตรงข้ามเป็นฐานใหญ่อ้างกำข้อมูลนายทุนใหญ่เป็นหลังบ้านผู้มีอำนาจกัมพูชา ขณะที่กกล.บูรพาสั่งเปิดด่านรับตัว“นายพลเขมร”ป่วยฉุกเฉินส่งรพ.อรัญฯ แฉ “ฮุนเซน”หัวหมอแบนสินค้าไทย แต่ให้นายทุนซื้อผ่านชายแดนลาวแทน “นิด้าโพล” ชี้อดีตผู้นำกัมพูชาเป็นบุคคลไม่น่าไว้วางใจ

เมื่อวันที่6กรกฎาคมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานกมธ. พร้อมด้วยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคปชน.ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เดินทางลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เพื่อศึกษาการแก้ไขปัญหาความมั่นคงและการบริหารกิจการชายแดนไทย-กัมพูชา

จุดแรกมาที่ด้านหลังบิ๊กซีอรัญประเทศ โดยมีพ.อ.เมธี คำเต็มผู้บังคับการชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา รายงานว่า จุดนี้ใช้เป็นช่องทางลักลอบข้ามไปฝั่งไปทำงานหรือเล่นการพนัน แต่ปัจจุบันได้ ซีลพื้นที่ตรงนี้แล้วแต่ยังลักลอบเข้าออกตลอดจับกุมได้ทุกวันและเพิ่งก่อประตูปิดช่องไป แต่ยังพบร่องรอยช่องที่ใช้การขุดดินรอดข้ามไป ซึ่งยอมรับว่า พื้นที่ตรงนี้ดูแลยาก เนื่องจากเป็นพื้นที่ของเอกชน

นอกจากนี้นายรังสิมันต์ ได้ถามถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ต ด้านพ.อ.เมธี กล่าวว่าหลังมีมาตรการคุมเข้มชายแดน ทำให้การใช้สัญญาณโทรศัพท์ตามแนวชายแดนจะเปิดใช้เฉพาะฝั่งไทยส่วนฝั่งกัมพูชาจะไม่ได้รับสัญญาณ ขณะที่มาตรการควบคุมชายแดนนั้น นอกจากใช้ลวดหนามขึงตลอดแนวแล้ว ตั้งแต่คลองลึกถึงป่าไร่ก็จะมีจุดตรวจประจำ และลาดตระเวนและดูผ่านกล้องวงจรปิด 24 ชั่วโมง

นายรังสิมันต์ ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์สแกมเมอร์รวมถึงการค้ามนุษย์ต้องยอมรับว่าในฝั่งกัมพูชามีความรุนแรงมากแม้มีความขัดแย้งตามแนวชายแดนและมีมาตรการหลายอย่างเกิดขึ้น รวมถึงมาตรการปราบปรามแต่ยังมีความพยายามข้ามไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และตนยังเชื่อว่ากลไกกฎหมายระหว่างประเทศยังใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ซึ่งจะพูดคุยในกมธ.ต่อไป

นายรังสิมันต์ ยังชี้ไปที่ตึกฝั่งตรงข้าม โดยอาคารที่บริเวณฝั่งกัมพูชา เป็นที่น่าสงสัยเกี่ยวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ ซึ่งต้องการไฟฟ้าและพลังงาน ซึ่งโดยภาพรวมเราสงสัยว่าอาจจะเป็นเมืองสแกมเมอร์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ โดยเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ในประเทศเดียว ฝ่ายนโยบายต้องไปดึงนานาชาติมาร่วมแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเสียหายจากการโดนหลอกคาดว่าจะเยอะกว่าไทยด้วยซ้ำ

ส่วนโครงการรั้วข้ามแดนกว่า 300 ล้านบาท ที่ผู้ว่าฯสระแก้วได้เสนอนั้น นายรังสิมันต์ว่า ตนเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ไม่สามารถเสนอ แต่ถ้าเสนอเข้ามาเราสามารถพูดคุยกันได้อยู่แล้วเมื่ออยากจะสร้างกำแพงชายแดน ในตอนนี้มีเทคโนโลยีเสาเซ็นเซอร์ มีเรด้าร์ตรวจจับได้หมด ไม่ว่าจะเป็นแมวสุนัขหรือนกสามารถระบุได้หมด ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องลงทุน และยังสามารถสร้างงานในประเทศได้ด้วยซ้ำไป

“การลงพื้นที่ในครั้งนี้ จะมีการพูดคุยถึงกลุ่มทุนที่เป็นเบื้องหลังของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเข้มข้นด้วย คาดว่าจะลงในรายละเอียดในวันที่ 7 กรฏาคมนี้ ตอนนี้ผมได้ชื่อเพิ่มมาอีก 1 ชื่อ ซึ่งเกี่ยวพันกับผู้มีอำนาจในกัมพูชา รวมทั้งเครือข่ายและกระบวนการลักลอบนำคนเข้าออก เราต้องดูว่าคนที่เกี่ยวข้องมีใครบ้าง ซึ่งเราได้รายชื่อมาบางส่วนแล้ว คงต้องมีการพูดคุยกับหน่วยงานต่อต่อไป”นายรังสิมันต์ กล่าว

ด้านนายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ในฐานะ กมธ. กล่าวช่วงหนึ่งว่า กำแพงรั้วที่เกิดขึ้นเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นโดยเอกชนฝ่ายไทยเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ทางฝั่งไทยคอยตรวจตรา ในขณะที่ฝั่งกัมพูชาเป็นพื้นที่โล่ง ทำให้ไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบอะไรเลย

ขณะเดียวกันพ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผบ.ฉก.อรัญประเทศ กกล.บูรพา ได้สั่งให้เปิดประตูด่านพรมแดนคลองลึกชั่วคราว บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศหลังจากฝ่ายกัมพูชาประสานขอความช่วยเหลือนำผู้ป่วยฉุกเฉิน คือพล.ท.เป็จววรรณา รองเจ้ากรมกิจการชายแดน บก.ทหารสูงสุดของกัมพูชา ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนลอรัญประเทศ

พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี เผยว่า ถือเป็นเรื่องพิเศษอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันด่านยังคงปิดทำการจากปัญหาชายแดนที่ยังไม่คลี่คลาย แต่การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า หลักมนุษยธรรมและความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันนั้นอยู่เหนือปัญหาความขัดแย้งทั้งปวง และยังแสดงถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานของทั้งสองประเทศ สร้างความพึงพอใจให้กับ จนท.กัมพูชาเป็นอย่างมาก

ที่จ.สุรินทร์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้เปิดประตูด่านโอร์เสม็ด ฝั่งกัมพูชา บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ชายแดนไทย-กัมพูชา ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ตามเวลาเดิม โดยมีแรงงานชาวกัมพูชาที่ข้ามแดนอย่างผิดกฏหมายซึ่งถูกผลักดันออกและส่วนที่มีเอกสารที่ถูกต้อง แต่ต้องการเดินทางกลับประเทศประมาณ 70 คนโดยมีเจ้าหน้าที่ไทยยังคงอำนวยความสะดวกตามหลักมนุษยธรรมเช่นเดิม

ขณะที่แรงงานกัมพูชาหลังจากข้ามแดนทางเจ้าหน้าที่กัมพูชาได้ให้ไปนั่งรอที่เต็นท์คัดกรองที่กระทรวงแรงานกัมพูชามาตั้งเต็นท์รับสมัครงานให้ผู้ที่ว่างงาน เพื่อไปทำงานกับกลุ่มทุนจีน

มีรายงานว่า หลังจากสมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศแบนการนำเข้าสินค้าไทยทุกชนิดนั้น แหล่งข่าวที่เป็นชาวกัมพูชา ระบุว่า แม้รัฐบาลกัมพูชาจะแบนสินค้าไทย แต่ชาวกัมพูชาก็ยังคงมีสินค้าไทยใช้เช่นเดิม เนื่องจากมีนายทุนที่รับซื้อสินค้าไทยต่อจากพ่อค้าแม่ค้าชาวลาว ฝั่งชายแดนกัมพูชาที่ติดกับประเทศลาว ก่อนจะนำมาขายต่อที่กัมพูชา

“สินค้าอาจจะมีราคาสูงขึ้น แต่ชาวกัมพูชาก็ยอมซื้อเพราะทั้งประเทศใช้แต่สินค้าไทย ตั้งแต่ยาสีฟัน สบู่ ยาสระผม ปลากระป๋อง มาม่าเครื่องปรุง รสดี ชูรส ซอส และแทบจะทุกอย่างในครัวเรือนอีกด้วย”แหล่งข่าวกล่าว

วันเดียวกันนี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่องความเคลื่อนไหวของ“ฮุน เซน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจากทุกอาชีพทั่วประเทศ รวม1,310 ตัวอย่าง

ประเด็นที่น่าสนใจ พบว่า ร้อยละ 67.63 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองรองลงมา ร้อยละ 57.25 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน เป็นบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจ ร้อยละ 44.66 ระบุว่า คำพูดของสมเด็จ ฮุน เซน ไม่มีความน่าเชื่อถือ และร้อยละ 40.53 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน กำลังยุให้คนไทยแตกแยกกัน เป็นต้น

เมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนต่อคำทำนายของสมเด็จ ฮุน เซน ที่บอกว่าประเทศไทยจะมีการเปลี่ยนนายกฯภายใน3 เดือนและรู้ด้วยว่าใครจะเป็นนายกฯ พบว่า ร้อยละ 43.05 ระบุว่า ไม่น่าเชื่อ รองลงมา ร้อยละ 34.12 ระบุว่า สมเด็จ ฮุน เซน ทำนายมั่ว ๆ ร้อยละ 33.97 ระบุว่า เป็นความพยายามยุให้คนไทยตีกัน ร้อยละ 30.31 ระบุว่า การเปลี่ยนนายกฯเป็นไปได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าใครจะได้เป็นนายกฯ เป็นต้น

ขณะที่เฟซบุ๊กเพจของสำนักข่าว Khmer Times ได้เผยแพร่บทความที่ชื่อว่า “มากกว่าการสำรวจความคิดเห็น : ทำไมเรื่องเล่าของไทยที่ต่อต้านสมเด็จเดโชฮุนเซนจึงแสดงให้เห็นถึงการกลัวความจริง” โดยมีเนื้อหาตอบโต้ว่าโพลไม่ให้เกียรติผู้นำระดับภูมิภาค ซึ่งเป็นผู้กอบกู้กัมพูชาให้พ้นจากยุคมืดมน นำพาสันติภาพมาสู่ประเทศและพัฒนาจนกัมพูชาเป็นประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของอาเซียน โดยเชื่อว่าการเมืองอยู่เบื้องหลังการทำผลสำรวจ