เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 ที่หอประชุมเล็ก (ศรีบูรพา) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ได้จัดงาน "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ครั้งที่ 3/2568 โดย นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน กล่าวถึงประเด็นความสัมพันธ์ไทย - กัมพูชา โดยเฉพาะบทบาทของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กับ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ว่า แม้ทั้งสองจะมีรอยร้าวให้เห็นในบางมิติ แต่ยังไม่ถึงขั้นแตกหักอย่างแท้จริง เนื่องจากผู้นำกัมพูชายังคงพูดถึงความลับบางประการที่ยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยเองก็มีมาตรการอยู่ในมือ แต่กลับไม่กล้าดำเนินการอย่างจริงจัง โดยเฉพาะปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่มีฐานปฏิบัติการในกัมพูชาอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยยังอ่อนข้อ และขาดความกล้าหาญเชิงนโยบาย

เมื่อถามถึงกรณีรัฐบาลประกาศถอนโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายปานเทพ กล่าวว่า เป็นเพียงยุทธวิธีทางการเมืองภายใน มากกว่าจะเป็นการตอบสนองต่อแรงกดดันจากภายนอก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ากระแสสนับสนุนผู้นำกัมพูชากำลังลดต่ำลงไม่ต่างจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งกำลังเผชิญภาวะศูนย์ถ่วงทางการเมืองที่สั่นคลอน ถ้าไม่มีจุดยืนชัดเจนก็ยากจะผลักดันนโยบายใหญ่ให้เดินหน้าได้จริง

สำหรับการเมืองไทยในภาพรวม ตนมองว่ายังไม่ถึงจุดทางตัน แต่หากไร้ผู้นำที่เด็ดขาดและไม่โยงใยผลประโยชน์กับกัมพูชา ก็ยากจะก้าวพ้นความท้าทายนี้ โดยเฉพาะกรณีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 และปี 2544 ที่เกี่ยวข้องกับเขตแดน ซึ่งยังคงมีผลอยู่ และรัฐบาลก็ไม่เคยแสดงท่าทีจะยกเลิกหรือทบทวน

"ถ้า น.ส.แพทองธาร ไม่ไว้ใจ สมเด็จฮุน เซน จริง ก็ควรกล้าแสดงจุดยืน ยกเลิก MOU ที่ทำไว้กับกัมพูชา แล้วกลับมาใช้แผนที่กลาง เส้นมัธยัสถ์ตามหลักสากล พร้อมเปิดกระบวนการ JBC อย่างโปร่งใส เหมือนที่เมียนมาใช้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ใช่ปล่อยให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างต่อเนื่อง" นายปานเทพ กล่าว และว่า พร้อมเสนอว่าหากรัฐบาลยังไม่สามารถขยับอะไรได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็ควรพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงผู้นำให้เป็นคนที่ไม่มีพันธะเชิงผลประโยชน์ และสามารถยืนหยัดเพื่อชาติได้จริง

- 006