สะพัด!สหรัฐตั้งเงื่อนไขแลกลดภาษี

ขอใช้ฐานทัพเรือพังงา

หวังถ่วงดุลอำนาจจีน

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’เตือน

รัฐบาลอย่าชักศึกเข้าบ้าน

‘อ้วน’ปิดปากไม่มีอะไร

เกิดกระแสข่าวสะพัด สหรัฐเล็งขอใช้ฐานทัพเรือทับละมุ จ.พังงา เป็นเงื่อนไขในการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย เพื่อถ่วงดุลอำนาจจีน “สุทิน”จี้รัฐบาลต้องตอบคนไทย เผยในฐานะคนเคยไล่ฐานทัพมะกันปี 2518 รู้ดีว่าเมื่อเข้ามาแล้วมันไล่ยากแค่ไหน ขณะที่อดีตรอง ผบ.ข่าวกรอง เตือน อย่าชักศึกเข้าบ้าน ค้านต่อรอง“ภาษีทรัมป์”แลกตั้งฐานทัพสหรัฐ ทำไทยเป็นจุดล่อเป้า ด้าน“ภูมิธรรม” รับอยู่ในแผน หลัง สหรัฐอเมริกา ขอใช้ฐานทัพเรือพังงา ชู“นายใหญ่” เก่ง‘ล็อบบี้ยิสต์’ขออย่าวิจารณ์ แจมร่วมวงสาง“ภาษีทรัมป์” ยันใช้สัมพันธ์ส่วนตัวดีลผู้นำสหรัฐฯ อุบตอบหลังถูกกดดันยกระดับความสัมพันธ์มั่นคงให้ชัด

เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 เกิดกระแสข่าวลืออย่างหนักข่าวที่เกี่ยวกับประเด็นความมั่นคงและอธิปไตยของประเทศไทยว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจยื่นข้อเสนอแลกกับการผ่อนปรนภาษีการค้า หรือสิทธิประโยชน์ทางเศรษฐกิจอื่นๆ ซึ่งสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 36% สำหรับ สินค้าทุกชนิดจากประเทศไทย ที่ส่งเข้ามายังสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามกระแสข่าวคือ สหรัฐมีเงื่อนไขคือการขอเข้าใช้ฐานทัพเรือทับละมุ จ.พังงา ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์สำคัญบริเวณทะเลอันดามัน ซึ่งสหรัฐฯ อาจต้องการฐานทัพแห่งนี้เนื่องจากมองว่าจะเป็นการเพิ่มอำนาจทางทะเลเพื่อถ่วงดุลอิทธิพลของประเทศจีนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งหากทำได้ ก็จะสามารถบล็อกช่องแคบมะละกาเส้นทางขนส่งน้ำมันไปจีนด้วย

เรื่องนี้ได้เกิดกระแสต่อต้านอย่างต่อเนื่อง โดย นายสุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวสำนักข่าวต่างประเทศ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sutin Wannabovorn ระบุว่า...#ทรัมป์ ขู่อินโดนีเซียถ้าไม่ออกจาก Brics จะขึ้นภาษี จาก 32% เป็น 42% แต่อินโดไม่ยอมเป็นไงเป็นกัน!! !!Jakarta Globe เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 ปราเซ็ตโย ฮาดี รัฐมนตรีประจำสำนักประธานาธิบดีได้ยืนยันว่า จาการ์ตาพร้อมเผชิญกับผลที่ตามมาจากการเป็นสมาชิกลำดับที่ 10 ของ BRICS ที่เข้าร่วมเมื่อต้นปีนี้

มีข่าวว่าสิ่งหนึ่งที่ ทรัมป์ตั้งเงื่อนไขต่อกับภาษีการค้า!!คือการขอใช้ “#ฐานทัพเรือทับละมุ” ที่ จ.พังงา เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ถ่วงดุลอำนาจทางเรือกับจีน จริงหรือไม่ทางรัฐบาลต้องตอบคนไทย!! คนที่#เคยไล่ฐานทัพไอ้กันปี 2518 รู้ว่าเมื่อเข้ามาแล้วมันไล่ยากแค่ไหน นี้เป็นเรื่องใหญ่ สทร อย่าเสือก!!

ขณะที่ นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ต่อต้านฐานทัพต่างชาติ เจรจาต่อรองภาษีทรัมป์ก็ว่ากันไป อย่าคาดหวังว่า จะได้อะไรกลับมา โลกวันนี้กำลังมีการจัดระเบียบใหม่ การแบ่งค่ายเป็นสองค่ายเริ่มชัดเจน อินโดถูกบีบให้ออกจากบริคส์เพื่อลดภาษี

อย่าเชื่อพวกคลั่งฝรั่งแบบสุดโต่งเปลี่ยนประเทศเป็นประชาธิปไตยตะวันตก เป็นข้อเสนอเจรจาต่อรองกับอเมริกา ญี่ปุ่นลอกแบบประชาธิปไตยตะวันตก แต่ก็โดนภาษีการค้าจากเมกาหลังแอ่น หรือเกาหลีใต้ปราบคอร์รัปชันจริงจังก็โดน เอียงข้างเข้าอเมริกาอย่างสุดๆ ยังไม่รอด

อย่ายอมรับให้ตั้งฐานทัพอเมริกาเด็ดขาด อย่าเอาความขัดแย้งเสี่ยงสงครามเข้าไทย มันเป็นจุดล่อเป้าขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ การค้าตกต่ำคนไทยต้องอดทน แต่อย่าชักศึกเข้าบ้าน

อยากให้รัฐบาลเตรียมแผนรองรับผลภาษี เพราะยังไงก็หนีไม่พ้นภาษีการค้า 36 % สิ่งที่ไม่เห็นจากรัฐบาลเลย แผนปกป้องผู้ประกอบการคนไทยจากภาษี แผนช่วยแบ่งเบาภาระผู้บริโภค ลดภาระค่าครองชีพคนไทย ทำได้ทันที ลดราคาน้ำมัน ไฟฟ้า

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กระทรวงมหาดไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฎิบัติหน้าที่ แต่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความเคลื่อนไหวจนอาจถูกมองว่าครอบงำนายกรัฐมนตรีว่า ไม่เกี่ยวกัน คนละคนกัน นายทักษิณเป็นผู้เชี่ยวชาญผู้รู้หลายเรื่อง การรับฟังความเห็นที่ดี ในการที่จะนำไปแก้ไขปัญหา ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อย่างกรณีที่นายทักษิณ เข้าบ้านพิษณุโลกเพื่อร่วมประชุมทีมไทยแลนด์ เจรจาภาษีสหรัฐ เมื่อวันที่11 ก.ค.ที่ผ่านมา

“ต้องยอมรับว่านายทักษิณ นั่นเก่งเรื่องล็อบบี้ยิสต์ การฟังหลายเรื่องก็เป็นประโยชน์ และนายทักษิณ ก็เคยทำ ธุรกิจและรู้จักใกล้ชิดกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นการได้ฟังแง่มุมต่างๆก็เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ ไม่ควรจะต้องมาคอยจับผิดกัน เพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ภาพใหญ่” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามว่ามีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ ที่ระหว่างนี้รัฐบาลจะให้นายทักษิณเจรจาตรงกับ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายภูมิธรรม กล่าวว่าต้องรอดูสถานการณ์ว่าขนาดไหนเหมาะสม แต่ในการทำงานไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีก็เป็นประโยชน์ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องตั้งเป็นตัวแทนเนื่องจากนายทักษิณเองก็มีข้อจำกัดในหลายๆเรื่อง

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าทางสหรัฐอเมริกากดดันไทยแสดงความชัดเจนขั้นสูงสุด ยกระดับในเรื่องการทหารและความมั่นคงระหว่างประเทศ นายภูมิธรรม กล่าวว่า คุยทุกเรื่องและหลายเรื่อง ฉะนั้น แต่ละประเทศที่ผู้นำสหรัฐได้เลือกเงื่อนไขในการเจรจาก็แตกต่างกันไป ซึ่งไทยก็มีในทุกกรณี อย่างสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็มีเรื่องความมั่นคง โดยตนได้ยืนยันหลัก ที่จะต้องดูแลอธิปไตยของประเทศ และความเหมาะสมถูกต้องที่ควรจะเป็น

เมื่อถามย้ำว่าเหมือนทางสหรัฐฯต้องการให้ไทยเลือกข้างชัดเจน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่ค่อยชอบฟังข่าวขอเอาเนื้อจริงมาพูดคุยกัน เพราะหลายเรื่องที่พูดคุยกันตนไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเป็นเรื่องความมั่นคง

ต่อมาเวลา 11.30 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวถึงกระแสข่าวสหรัฐอเมริกา ขอใช้ฐานทัพเรือทับละมุ จ.พังงา เพื่อเป็นยุทธศาสตร์ถ่วงดุลอำนาจทางเรือกับจีนว่า ยังไม่ทราบในรายละเอียด เรื่องของทรัมป์ ก็อยู่ในแผนของกองทัพเรืออยู่แล้ว ไม่มีอะไร

เมื่อถามย้ำว่าเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกาหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า แต่ละเรื่องก็เป็นแต่ละเรื่องไป

ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...คนไทยไม่ไว้ใจทักษิณ ต่อกรณีที่นายทักษิณ ไปมีส่วนร่วมการประชุมที่บ้านพิษณุโลก หลายฝ่ายออกมาคัดค้าน แต่ล่าสุดคนของพรรคเพื่อไทย ก็พยายามออกมาชี้แจงว่า เป็นการเชิญ คนที่มีความรู้ความสามารถมาให้ความเห็น

สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องเข้าใจ ถ้านายทักษิณ เป็นนักธุรกิจ ที่เหมือนกับนักธุรกิจคนอื่น การเชิญนายทักษิณ มาร่วมแสดงความคิดเห็น ต่อการแก้ปัญหาภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ หรือปัญหาเศรษฐกิจ นั้นเป็นที่เข้าใจได้

แต่ข้อเท็จจริง นายทักษิณคือนักการเมืองที่ฉวยโอกาส มีปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ที่ศาลฎีกานักการเมืองตัดสินไปแล้ว แม้แต่ล่าสุด ก็ยังมีปัญหา ที่สังคมแคลงใจคือ โกงการติดคุก ที่ศาลฎีกานักการเมือง กำลังไต่สวน นี่ยังไม่นับอีกหลายๆปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกับฮุนเซน

ถามว่ารัฐบาลยังกล้าไว้วางใจ คนประเภทนี้ มาให้คำแนะนำ เพื่อแก้ปัญหาการเจรจาระหว่างประเทศ หรือปัญหาเศรษฐกิจอีกหรือ ประชาชนเกรงว่า สิ่งที่เขาเสนอ อาจจะมีการเอาผลประโยชน์ชาติไปแลกกับต่างชาติ แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ของตนเอง เพราะสันดานคนมันแก้ไม่ได้