"สว.สำรอง"ยื่น"กกต."เร่งรับสำนวนคดี"ฮั้ว"จากชุดสืบสวนไต่สวน เพื่อพิจารณาชี้ขาดส่งศาลฎีกาโดยเร็ว รับกังวลใจหากสำนวนถึง กกต.ชุดใหญ่จะเหลือผู้ถูกดำเนินคดีไม่กี่คน
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลุ่ม สว.สำรอง นำโดย พล.ต.ท.คํารบ ปัญญาแก้ว เข้ายื่นหนังสือถึง กกต.ขอให้พิจารณาเร่งรับสำนวนคณะสืบสวนไต่สวน ชุดที่ 26 ที่ทำคดีฮั้วเลือก สว.ก่อนสรุปสำนวนเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดโดยเร็ว ก่อนนำเสนอศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งต่อไป
สำหรับการยื่นหนังสือในครั้งนี้ กลุ่ม สว.สำรอง เห็นว่า คดีนี้สืบเนื่องจากคณะสืบสวนไต่สวน ชุดที่ 26 ประกอบด้วย ร.ต.อ.ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต.เป็นประธานฯ และมีกรรมการระดับ ผอ.สำนักของ กกต.และเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระดับรองอธิบดี และผู้อำนวยการสำนัก และผู้อำนวยการฝ่ายเป็นกรรมการรวม 7 คน ทำการสืบสวนไต่สวนจนสามารถกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องได้ถึง 229 คน ประกอบกับสำนวนการสืบสวนไต่สวนนี้เริ่มจากการที่ดีเอสไอ ได้แจ้งข้อมูลมายังสำนักงาน กกต.ตามหนังสือกรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงวันที่ 3 ก.พ.2568 ซึ่งเป็นต้นเรื่องที่ กกต.ถือเป็นความปรากฏ
นอกจากนี้ ระหว่างดำเนินการคณะสืบสวนไต่สวนก็ได้มีการปรึกษาหารือกับ กกต.ทั้งคณะมาโดยตลอด แล้วก็ได้รับความเห็นชอบในการดำเนินการกับกลุ่มที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตาม พ.ร.ป.สว. พ.ศ.2561 ในมาตรา 76 , 77 และ 79 และอื่นๆ รวมทั้งการกันตัวบุคคลบางคนเป็นพยานตามมาตรา 65 ด้วย
ดังนั้น กลุ่ม สว.สำรอง จึงมีข้อเสนอแนะในการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้ ตามขั้นที่ 2 ที่ทางสำนักงาน กกต.โดยมีรองเลขาธิการฯที่รับผิดชอบในการจัดทำความเห็นนั้นควรใช้เวลาไม่เกิน 3 วัน เพราะชุดคณะสืบสวนไต่สวนชุดที่ 26 นั้น ดำเนินการโดยผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิ้นและมีหัวหน้าเป็นรองเลขาธิการ กกต.เช่นเดียวกันและมีการรวบรวมพยานหลักฐานมาแล้วอย่างครบถ้วน ทั้งบุคคลพยานเอกสาร เช่น โทรศัพท์ และเส้นเงิน รวมทั้งข้อมูล AI
ส่วนขั้นที่ 3 ตามปกติจะต้องมีการตั้งอนุวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งนั้น เนื่องจากการดำเนินการของคณะสืบสวนไต่สวน ชุดที่ 26 นี้ กกต.ทั้งคณะเป็นผู้พบเหตุความปรากฏด้วยตนเอง และรับรู้เห็นชอบดำเนินการมาอย่างใกล้ชิดโดยตลอด จึงไม่มีความจำเป็นต้องตั้งคณะอนุวินิจฉัยขึ้นมาพิจารณาอีก จึงไม่ต้องตั้งอนุวินิจฉัยขึ้นมาก็ได้ และก็สอดคล้องกับระเบียบเดียวกันในข้อ 78 ที่ กกต.สามารถสั่งการเป็นอย่างอื่น คือยกเว้นให้เลขาธิการ กกต.สามารถเสนอสำนวนมายัง กกต.ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านคณะอนุวินิจฉัย
ทั้งนี้ คณะ สว.สำรอง เห็นว่าเรื่องการทุจริต สว.นี้เป็นเรื่องที่สำคัญจำเป็นต้องปกปิดความลับในสำนวน และรักษาความปลอดภัยพยานบุคคลไว้อย่างที่สุด จึงเห็นควรไม่ต้องเสนอสำนวนผ่านคณะอนุวินิจฉัยอีก โดย กกต.ทั้งคณะควรรีบเร่งในการพิจารณาโดยเร็วอย่างมีความรับผิดชอบ และไม่ละทิ้งหน้าที่โดยการชิงลาออกของ กกต.บางคนตามที่เป็นข่าว และขอให้มีการบันทึกรายละเอียดเหตุผลในคำวินิจฉัยเพื่อส่งศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อสรุปส่งถึงชั้นคณะกรรมการ กกต.อาจจะเหลือผู้ถูกดำเนินคดีเพียงไม่กี่คน กังวลในเรื่องนี้หรือไม่ พล.ต.ท.คํารบ กล่าวว่า ก็กังวลอยู่เช่นกัน เพราะพบว่ามีความพยายามจะลดทอนในกลุ่มของผู้บริหารพรรคการเมือง และกลุ่มของ สว.ที่เข้าไปทำงานในสภาฯขณะนี้ ซึ่งตามกฏหมายแล้วควรจะมีการเพิกถอนสิทธิรับเลือกตั้งขอบกลุ่ม สว.138 คนในสภาฯ ตามาตรา 62 และ กกต.คงไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นได้ ถ้า "พยานหลักฐานตามปรากฏควรเชื่อได้ว่า" ซึ่งมองว่าการไปวิ่งเต้นทางคดี หากดูตามกฎหมายแล้วถือว่าเป็นไปได้ยาก หรือ กกต.จะไปเล่นกล คนไทยทั่วประเทศคงไม่ยอม
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี