วันเสาร์ ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
ศบ.ทก.อัปเดตยอดคนไทยเสียชีวิต 14 เจ็บ 45 อพยพกว่า 1 แสนคน พบยังมีเหตุปะทะอยู่ 12 จุด

ศบ.ทก.อัปเดตยอดคนไทยเสียชีวิต 14 เจ็บ 45 อพยพกว่า 1 แสนคน พบยังมีเหตุปะทะอยู่ 12 จุด

วันศุกร์ ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 13.52 น.
Tag : กองทัพกัมพูชา กัมพูชา กัมพูชายิงก่อน ชายแดน ทหารไทยกัมพูชา ไทยกัมพูชา สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา เครื่องบินf16
  •  

ศบ.ทก. ย้ำ กัมพูชาเริ่มเปิดฉากก่อน เผย 4 จว.ชายแดนอพยพประชาชนครบ 100% แล้ว ยัน เขมรละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ยิงรพ.-เด็ก-พลเรือน เผย ทูตไทยที่นิวยอร์กเตรียมแจงยูเอ็นเอสซีบ่ายนี้ ยัน มีข้อมูลในมือ ระบุ ไม่มีการลงมติ คาด แค่ขอยุติปะทะ “มาริษ” ถึงไทยคืนนี้ พร้อมเปิดรายละเอียด ด้าน โฆษก กต. จ้อสื่อนอก อธิบายข้อเท็จจริง โต้เขมร ไทยไมได้ยิงโดนปราสาทพระวิหาร

วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 เวลา 12.05 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่า ขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อพี่น้องประชาชนชาวไทยจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชาซึ่งเริ่มยิงมายังกำลังฝ่ายไทยเมื่อช่วงเช้าวันที่ 24 ก.ค.  ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้จากการปะทะดังกล่าว โดยการปะทะดังกล่าวเป็นเหตุที่ไม่คาดคิด ทำให้ฝ่ายเราไม่สามารถจะเตือนไปยังประชาชนล่วงหน้าได้ แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การปะทะยังมีอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน จึงอยากแจ้งเตือนประชาชนทั้งสองประเทศซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบ หรือการปะทะในครั้งนี้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในพื้นที่ตามแนวชายแดนของทั้งสองฝั่งให้อพยพออกจากพื้นที่สู้รบ เพื่อลดหรือป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้


พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า สำหรับยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บของฝ่ายไทยที่เป็นพลเรือน ณ วันที่ 25 ก.ค.เวลา 09.00 น. มีพลเรือนเสียชีวิตทั้งหมด 14 ราย บาดเจ็บสาหัส 7 ราย บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 11 ราย รวมทั้งสิ้น 45 ราย ทั้งนี้ ทางกระทรวงมหาดไทย โดย 4 จังหวัด ประกอบด้วย สุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ได้ทำการอพยพประชาชนไปแล้วกว่า 130,000 คน หรือร้อยละ 100 ของประชาชนในพื้นที่ จังหวัดได้จัดเตรียมศูนย์พักพิงอพยพผู้ลี้ภัยซึ่งสามารถรองรับประชาชนได้มากกว่า 300,000 คน รวมทั้งจัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) เพื่อดูแลความปลอดภัยและทรัพย์สินให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้อพยพผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ออกจากโรงพยาบาลที่อยู่ในรัศมีของการโจมตีที่ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น 11 แห่ง 4 แห่งในจำนวนนั้นได้ปิดทำการไปโดยปริยาย เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี โดยเฉพาะทางผู้ป่วยในและบุคลากรทางการแพทย์ได้อพยพออกจากพื้นที่ตรงนั้นแล้ว 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ในเรื่องของการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัย ผู้เสียชีวิต ทุพพลภาพ และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ทางราชการไม่ได้นิ่งนอนใจ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ได้กำหนดแนวทางตามระเบียบราชการในการช่วยเหลือประชาชน โดยจัดสรรงบประมาณและกองทุนต่างๆ ที่สามารถจัดหาได้เข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยรายละเอียด ศบ.ทก.จะชี้แจงให้ทราบต่อไป อย่างไรก็ตาม จากที่ปรากฏเป็นข่าวในการโจมตีของกัมพูชา ที่มีการโจมตีไปยังสถานที่ต่างๆ เช่น โรงพยาบาล ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาเจนีวา และเป็นการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม ซึ่งทางฝ่ายไทยขอประท้วงและประณามอย่างรุนแรง 

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ขอรายงานความคืบหน้าสถานการณ์การปะทะ ณ เวลา 08.30 น.ของวันที่ 25 ก.ค.ทางฝ่ายกัมพูชายังมีการใช้อาวุธหนักและอาวุธยิงสนับสนุนระยะไกลโจมตีขอบหน้าพื้นที่การปะทะ และพื้นส่วนหลังของฝ่ายไทย ทำให้พื้นที่ส่วนหลังซึ่งมีชาวบ้านอยู่อาศัยได้รับผลกระทบ ซึ่งโรงพยาบาลเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบด้วย ทั้งนี้ จากการพิสูจน์ทราบ ในวันนี้การปะทะยังคงมีอยู่ในพื้นที่ทั้งหมด 12 แห่ง อาทิ พื้นที่ช่องบก พื้นที่ช่องอานม้า พื้นที่ซำแต พื้นที่ภูผี พื้นที่ช่องตาเฒ่า พื้นที่เขาพระวิหาร บริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พื้นที่ภูมะเขือ พื้นที่ช่องจอม พื้นที่ปราสาทตาควาย และพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการมาอยู่ในขณะนี้

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วาระพิเศษ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.  ได้มีมติ ดังนี้ 1.อนุมัติให้กองทัพดำเนินการปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย 2.ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้การดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โดยพิจารณาจากกลไกช่วยเหลือเพิ่มเติม 3.ให้กระทรวงการต่างประเทศทำการประท้วงและประณามการกระทำของกัมพูชาที่ละเมิดต่ออธิปไตยของไทย และละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ 4.ศบ.ทก.บริหารจัดการชายแดน และให้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริง โดยบูรณาการร่วมกับกองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ สมช. กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ในที่ประชุมได้มีการรายงานไปที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยที่ประชุม ครม.นัดพิเศษ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ได้มีมติเห็นชอบ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ให้กระทรวงการต่างประเทศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา 2.ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ 3.กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการทางภาษีเพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ขอในนามของกระทรวงการต่างประเทศขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปะทะที่เริ่มต้นจากฝ่ายกัมพูชา การสูญเสียครั้งนี้ของพลเรือนบริสุทธิ์ ยังมีการเสียชีวิตของเด็กที่นอกจากจะละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศแล้ว ยังเป็นการละเมิดศีลธรรมและความเป็นมนุษย์ ควรจะได้รับการประณามอย่างเต็มที่โดยประชาคมระหว่างประเทศ ขอย้ำว่าการตอบโต้ของฝ่ายไทยจะมีความชัดเจนและมีความเหมาะสมในการป้องกันตนเองตามข้อ 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ 

นางมาระตี กล่าวว่า สำหรับพัฒนาการสำคัญที่ได้มีการหารือกันในที่ประชุม ศบ.ทก.วันนี้ มี 5 ประเด็น 1.แถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาที่ทางกระทรวงต่างประเทศได้ออกมาเมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงฝ่ายไทย ซึ่งเป็นการโจมตีที่รุนแรงต่อเนื่อง ไม่ได้มีเพียงเป้าหมายทางทหาร แต่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่พลเรือนชาวไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชุมชนและสถานที่สาธารณะที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาล อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย รวมทั้งที่มีอาการสาหัส กระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ฉบับนี้ระบุชัดเจนว่ารัฐบาลไทยประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกองทัพกัมพูชาและได้ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับประเทศไทย และขอให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยกลับประเทศเช่นกัน การกระทำของกัมพูชาเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรงโดยเกิดขึ้นซ้ำๆ นับตั้งแต่กรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 16 และ 23 ก.ค. ซึ่งรัฐบาลไทยเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยุติการโจมตีเป้าหมาย ทั้งทางทหารและโดยเฉพาะพลเรือน รวมถึงยุติการละเมิดอธิปไตยของไทยโดยทันที 

“โดยรัฐบาลไทยพร้อมที่จะยกระดับมาตรการป้องกันตนเองหากกัมพูชายังไม่ยุติการกระทำที่เป็นการโจมตีทางอาวุธและละเมิดอธิปไตยของไทยตามหลักสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ขอย้ำอีกครั้งว่าการกระทำดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้ออนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 1 เกี่ยวกับความคุ้มครองโรงพยาบาล และฉบับที่ 4 เกี่ยวกับการคุ้มครองหน่วยแพทย์ รวมถึงเป็นการกระทำที่ขาดมนุษยธรรมต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์”

นางมาระตี กล่าวว่า 2.ที่ประชุมได้มีการหารือกันถึงเรื่องการหารือกับภาคเอกชนเพื่อเตรียมการแผนช่วยเหลือคนไทยที่อยู่ในกลุ่มกัมพูชา โดยเมื่อวันที่ 24 ก.ค. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศได้สั่งการให้เชิญภาคเอกชนพร้อมด้วยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมาหารือเกี่ยวกับแผนการช่วยเหลือคนไทยในกัมพูชากรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่ง รมว.ต่างประเทศได้เข้าร่วมประชุมด้วยตัวเองทางออนไลน์จากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้ รมว.ต่างประเทศอยู่ที่นั่น โดยทุกภาคส่วนได้ยืนยันความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือและความร่วมมืออย่างเต็มที่ เพื่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของประชาชนไทยที่อยู่ในกัมพูชาทุกคน 

นางมาระตี กล่าวว่า 3.การส่งหนังสือถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา ตามที่ปรากฏในรายงานข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาได้ส่งหนังสือถึงประธานยูเอ็นเอสซี ขอให้เรียกประชุมด่วนเพื่อยุติเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายรุกรานอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ ฝ่ายไทยโดยกระทรวงต่างประเทศได้มีหนังสือถึงยูเอ็นเอสซีเช่นกันเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งไทยมีหลักฐานว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน และมีการใช้ความรุนแรงจนพลเรือนฝ่ายไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เป็นการรุกรานอธิปไตยเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจน ไทยขอให้ประธานยูเอ็นเอสซีเวียนหนังสือของฝ่ายไทยที่เป็นเอกสารทางการของยูเอ็นเอสซีเพื่อให้สมาชิกทุกประเทศได้รับทราบด้วย โดย รมว.ต่างประเทศของไทย ซึ่งขณะนี้อยู่ที่นครนิวยอร์กได้มีโอกาสได้พบกับบุคคลสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้แทนของประเทศปากีสถานซึ่งเป็นประธานของยูเอ็นเอสซีในเดือน ก.ค. และยังได้พบกับผู้แทนปานามา ซึ่งจะเป็นประธานยูเอ็นเอสซีในเดือน ส.ค. เพื่อที่จะชี้แจงจุดยืนและนำเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และและยังได้พบกับเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อีกด้วย 

นางมาระตี กล่าวว่า ล่าสุดทราบว่า วันนี้ในเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของนครนิวยอร์ก ยูเอ็นเอสซีจะจัดประชุมแบบปิดเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งการประชุมในลักษณะนี้จัดขึ้นเป็นปกติเมื่อมีเหตุการณ์ปะทะระหว่างสองประเทศที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตรงจุดไหนก็แล้วแต่ในโลกนี้ และไม่ใช่เป็นการประชุมเพื่อลงมติใดๆ เป็นเพียงการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยเชิญคู่กรณีพร้อมกับสมาชิก 15 ประเทศ ทั้งสมาชิกถาวรและไม่ถาวรของยูเอ็นเอสซีไปให้ข้อมูล ให้เป็นที่รับทราบ โดยผู้เข้าร่วมจะเป็น 15 สมาชิกของยูเอ็นเอสซีและคู่กรณี ในกรณีนี้คือ ไทยกับกัมพูชา สำหรับฝ่ายไทยจะเป็นเอกอัครราชทูตที่ประจำอยู่ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งมีทีมงานที่สนับสนุนท่านและมีการประสานงานอยู่เป็นประจำกับกระทรวงการต่างประเทศที่ประเทศไทย  โดย 1-2 วันที่ผ่านมา รมว.ต่างประเทศได้พบปะกับหลายๆ คนเพื่อจะชี้แจงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดย รมว.ต่างประเทศจะเดินทางกลับประเทศไทยในคืนนี้ (25 ก.ค.) โดยน่าจะมีการรายงานต่อสื่อว่า มีการพบกับใคร มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง และที่ประชุมของยูเอ็นเอสซีได้มีการพูดคุยอะไรกันบ้าง อย่างมากอาจจะมีการแถลงการณ์เพิ่มเติม ไม่ใช่เป็นมติของที่ประชุม เพื่อที่จะเรียกร้องให้ยุติการปะทะกัน โดยเฉพาะเป้าหมายที่เป็นพลเรือน ซึ่งเป็นหลักสากลสำคัญของที่ประชุม 

นางมาระตี กล่าวว่า สื่อต่างประเทศมีความสนใจ และติดตามสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทราบว่าได้มีการส่งทีมงานของสำนักข่าวสื่อต่างประเทศลงในพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูล ติดตามสถานการณ์ และรายงานให้ประชาคมโลกได้รับทราบ ทั้งนี้ ในวันนี้ (25 ก.ค. โฆษกกระทรวงการต่างประเทศมีกำหนดให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศ เช่น รอยเตอร์เอเอฟพี อัลจาซีรา เพื่อเผยแพร่ข้อเท็จจริงและแนวทางการดำเนินการของประเทศไทยให้ต่างประเทศรับทราบอย่างครอบคลุมทั่วโลกอีกด้วย จึงขอให้ประชาชนมีความมั่นใจได้ว่ากระทรวงต่างประเทศกำลังทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อสื่อสารเรื่องราวและท่าทีของไทยไปสู่ต่างประเทศอย่างชัดเจนอยู่ตลอดเวลา

นางมาระตี กล่าวว่า และ5.กรณีมีข่าวปลอมซึ่งเป็นเอกสารของกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลป์แห่งกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ประณามกองทัพไทยว่า เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ได้กระทำการรุกรานสร้างความเสียหายให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลก เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายคุ้มครองแหล่งวัฒนธรรมภายใต้กรอบยูเนสโก อย่างไรก็ตาม การปะทะกันระหว่างกองกำลังไทยกับกัมพูชาในวันที่ 24 ก.ค.โดยฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายที่ยิงก่อน เกิดขึ้นที่เขาพระวิหาร (บริเวณห้วยตามาเรีย-ภูมะเขือ)  อยู่ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารถึง 12 กิโลเมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีกระสุนหรือสะเก็ดระเบิดสามารถเดินทางไปไกลถึงปราสาทพระวิหาร ซึ่งทั้งหมดนี้ฝ่ายไทยจะชี้แจงโดยออกหนังสือเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศรายหนึ่งนำเสนอภาพการโจมตีเซเว่นอีเลฟเว่นในปั๊ม ปตท.ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยว่าเกิดขึ้นในสถานที่แห่งหนึ่งของกัมพูชา ซึ่งเป็นข่าวปลอม ทางกระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าติดตามข่าวปลอมในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อทำความเข้าใจและชี้แจงกับสำนักข่าวต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

นางมาระตี กล่าวในช่วงท้ายว่า ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน ทางรัฐบาลโดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลางและในพื้นที่ ทางฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายพลเรือน จะดำเนินการทั้งในด้านความมั่นคง การทูต การบริหารจัดการในพื้นที่ชายแดน ตลอดจนมาตรการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชน เพื่อปกป้องอธิปไตยผลประโยชน์ของชาติ และท่าทีไทยในเวที โลกอย่างเต็มกำลัง  นอกจากนี้ ขอฝากกับประชาชนว่าท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เราต้องพยายามแยกแยะระหว่างการดำเนินการของฝ่ายรัฐบาล กองทัพของไทย กับของกัมพูชา และประชาชนทั่วไป  

 

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ทันเหลี่ยมเขมร! ‘อ.ไชยันต์’รู้ไต๋ ‘กัมพูชา’ จี้‘ไทย’หยุดยิง หวังฟ้องโลกถูก‘ใหญ่’รังแก‘เล็ก’ ทันเหลี่ยมเขมร! ‘อ.ไชยันต์’รู้ไต๋ ‘กัมพูชา’ จี้‘ไทย’หยุดยิง หวังฟ้องโลกถูก‘ใหญ่’รังแก‘เล็ก’
  • ทอ.ส่ง\'F-16-กริพเพน\' โจมตียุทธบริเวณ\'ภูมะเขือ\' สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา ทอ.ส่ง'F-16-กริพเพน' โจมตียุทธบริเวณ'ภูมะเขือ' สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา
  • \'สมัชชาคนจน\' ยก 4 ข้อ จี้รัฐเร่งเจรจายุติ \'สงครามไทย-กัมพูชา\' โดยเร็ว 'สมัชชาคนจน' ยก 4 ข้อ จี้รัฐเร่งเจรจายุติ 'สงครามไทย-กัมพูชา' โดยเร็ว
  • ‘อนุทิน’ลงพื้นที่ศรีสะเกษให้กำลังใจพี่น้องชายแดน ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมฝ่าวิกฤต ‘อนุทิน’ลงพื้นที่ศรีสะเกษให้กำลังใจพี่น้องชายแดน ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมฝ่าวิกฤต
  • \'ทักษิณ\'ซัด​\'เขมร\'ใช้ไม่ได้ โจมตีพลเรือน ประเมินสถานการณ์สู้รบไม่ยืดเยื้อ 'ทักษิณ'ซัด​'เขมร'ใช้ไม่ได้ โจมตีพลเรือน ประเมินสถานการณ์สู้รบไม่ยืดเยื้อ
  • ชมสด!‘ก.ต่างประเทศ’แถลงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดย‘มาริษ เสงี่ยมพงษ์’ ชมสด!‘ก.ต่างประเทศ’แถลงสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดย‘มาริษ เสงี่ยมพงษ์’
  •  

Breaking News

เมื่อประเทศเข้าสู่ความไม่สงบ พลเรือนไทยทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยเหลือกองทัพ?

ทันเหลี่ยมเขมร! ‘อ.ไชยันต์’รู้ไต๋ ‘กัมพูชา’ จี้‘ไทย’หยุดยิง หวังฟ้องโลกถูก‘ใหญ่’รังแก‘เล็ก’

‘มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง’ลงพื้นที่บรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัย‘น้ำท่วมน่าน’

'เขมร'สั่งปิดน่านฟ้าเหนือพื้นที่สู้รบกับไทย 'เที่ยวบินพาณิชย์'เปลี่ยนเส้นทางไม่ยกเลิก

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved