‘ภูมิใจไทย-พรรคร่วมฝ่ายค้าน’ ชงยื่นญัตติด่วนขอสภาฯพิจารณายกเลิก ‘MOU44’ ชี้ไม่ผ่านสภาฯ-ขัดรัฐธรรมนูญปี 60 สอนมวยต้องเซ็นกับคนที่มีสติสัมปชัญญะ ด้าน ‘พปชร.’ ข้องใจเป็นต้นเหตุขัดแย้งจากผลประโยชน์2ตระกูล หรือไม่
เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2568 ที่รัฐสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยตัวแทนจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ลงชื่อจำนวน 34 คน ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ MOU 2543 และ MOU 2544 ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่หนึ่ง โดยจะเป็นการพิจารณาในวันที่ 7 ส.ค. เนื่องจากวันที่ 31 ก.ค.มีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องภาษีทรัมป์
นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนเคยยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี , รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม , ผู้บัญชาการทหารสูงสุด(ผบ.สส.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในการเซ็น MOU ปี 2544 เนื่องจากความเป็นห่วงของประชาชนทั่วประเทศ ว่า MOU ที่เราทำกับกัมพูชานั้น ประเทศไทยมีแต่เสียเปรียบ ประกอบกับ MOU ปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เคยมีมติครม.ให้ยกเลิก MOU 2544 โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้ เนื่องจากมีผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติและไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 178 บัญญัติไว้ว่าการไปลงนามทำ MOU แบบนี้ จำเป็นต้องผ่านรัฐสภา แต่ MOU 2544 ไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา จึงขัดกับรัฐธรรมนูญปี 2560
“ประเทศไทยไม่เคยทำ MOU กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ลาว หรือเมียนมา เราไม่เคยทำ MOU ในลักษณะแบบนี้ แต่ทำกับประเทศกัมพูชาประเทศเดียว เนื้อหาสาระที่เป็นห่วงคือเราพยายามจะใช้แผนที่ 1 : 50,000 แต่กัมพูชามีความพยายามใช้แผนที่ 1 : 200,000 ไม่มีใครที่ไหน ต้องการทำให้แผนที่มีความหยาบ จึงมีความเป็นห่วงว่าหากเราใช้สัดส่วน 1 : 200,000 เมื่อลากเส้นตรงไปจะติดเกาะกูดของเราไปด้วย” นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าว
นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่ MOU 2543 คือ MOU ที่มีการบันทึกความเข้าใจเรื่องพรมแดนอาณาเขตประชาธิปไตยและการจัดหาผลประโยชน์ระหว่างแนวเขตบนบก ที่เรามีปัญหากันอยู่ ส่วน MOU 2544 เกี่ยวข้องกับเรื่องทะเลซึ่งมีทรัพยากรมหาศาล ตนจึงเป็นห่วงว่า MOU ฉบับนี้ ทำไมต้องมีการรักษาท่าทีแล้วคงเอาไว้เพราะเป็นประโยชน์ต่อประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น หรือไม่ ซึ่งพี่น้องหลายจังหวัดเห็นว่านี่เป็นจังหวะเหมาะสมที่สุดแล้วที่รัฐบาลหยิบยกในประเด็นปัญหา MOU 43 และ 44 มายกเลิกกับกัมพูชา เนื่องจากกัมพูชาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพูดไม่รู้เรื่อง ไม่รักษาคำพูด เราจะไปเซ็น MOU กับประเทศที่ไม่มีสติในการเจรจา แบบนี้จะได้เรื่องหรือไม่ เพราะฉะนั้นการเซ็น MOU ต้องเซ็นระหว่างคนที่มีสติสัมปชัญญะกับประเทศที่มีเหตุมีผล
"ผมสงสารประชาชน เด็กบริสุทธิ์ที่ถูกกระสุนปืนจากฝั่งกัมพูชายิงมาที่โรงพยาบาล บ้านเรือนประชาชน ทหารของประเทศไทยที่ออกไปเสียเลือดเนื้อตายฟรี ๆ มันจะแลกได้กับทรัพย์มรดกหรือว่าที่ดินของกัมพูชาจะคุ้มกับชีวิตบริสุทธิ์ของคนไทยหรือไม่ วันนี้เราทุ่มงบในเรื่องของอาวุธและอพยพคน เราเสียทุกสิ่งอย่างและไปเจรจายุติกันที่ประเทศมาเลเซีย พี่น้องก็เห็นแล้วว่าฝั่งกัมพูชาหลังเที่ยงคืนยังมีเสียงปืน อย่างนี้เราจะไปยึดถือ MOU 43 , 44 ได้อย่างไร ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลชุดนี้อยากจะมี MOU ทำความเข้าใจกับคนที่ไร้สติ ก็ไปทบทวนกันใหม่จะมาทำ MOU ปี 68 หรือ 69 ก็ให้มีสติก่อน ให้เขาไปหายามารักษาให้มีสติที่สมบูรณ์ก่อน"นายสฤษฏ์พงษ์กล่าว
ด้านนายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า หลายคนมีข้อกังขาว่า MOU 2544 เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในปัจจุบันหรือไม่ เพราะเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2ตระกูล 2ประเทศ ทางกลุ่มสส.รักชาติปกป้องแผ่นดิน จึงได้รวมตัวกันในหลายพรรคการเมือง ที่ถอดหัวโขนออก เหลือแต่ตัวแทนของประชาชนที่จะพิทักษ์และปกป้องผลประโยชน์ผืนแผ่นดินไทย เราจะไม่ยอมเสียอำนาจอธิปไตย หรือดินแดนอันเป็นแผ่นดินไทยไม่ว่าจะทางน้ำหรือบกและทะเลแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี