ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากไฟเขียว“แพทองธาร”ขยายเวลาครั้งสุดท้าย แจงปมคลิปคุย“ฮุนเซน” ขีดเส้น 4 สิงหาคม หากไม่แจงถือว่าไม่ติดใจ สั่งรับคำแถลงปิดคดีคู่กรณีคดี‘พิเชษฐ์’แปรงบลงพื้นที่ตัวเอง ขัดรัฐธรรมนูญ ม.144 รวมไว้ในสำนวน ชี้พยานหลักฐานเพียงพอ นัดชี้ชะตา1ส.ค.นี้
เมื่อวันที่ 30กรกฎาคม2568 ศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณากรณีประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค3 ประกอบมาตรา82 นายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 1 (4) ประกอบมาตรา 160 (4)และ (5) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคำร้องของขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาครั้งที่ 2 นางสาวแพทองธาร ฉบับลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งขอขยายระยะเวลาออกไปอีก 15วัน นับจากวันครบกำหนดเดิมเนื่องจากอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อใช้เรียบเรียงทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาซึ่งยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาออกไปจนถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 เป็นครั้งสุดท้าย หากไม่ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวให้ถือว่าไม่ติดใจที่จะยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญจะดำเนินกระบวนการพิจารณาต่อไป
ขณะที่ตุลาการเสียงข้างน้อยที่เห็นไม่ควรอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาประกอบด้วย นายปัญญา อุดชาชน ,นายวิรุฬห์ แสงเทียน , นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ สำหรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา ระบุว่าปรากฏคลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 แม้ต่อมานางสาวแพทองธาร แถลงข่าวเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม
แต่สมาชิกวุฒิสภา ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า นางสาวแพทองธาร แสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัยและพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 นางสาวแพทองธารเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ถูกร้องไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัวและขอให้ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่ารัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาปรึกษาหารือในคดีที่นายภัณฑิล น่วมเจิม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย กว่า 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยื่นคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กรณี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ผู้ถูกร้อง เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการ และให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ ที่นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568และในกรณีที่สำนักงานเลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎร มีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ที่นายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้อง มีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใดๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง ซึ่งนายพิเชษฐ์ ผู้ถูกร้อง ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้อง จำนวน 9 ปากแล้ว โดยมีคำสั่งรับคำแถลงการณ์ปิดคดีของคู่กรณีรวมไว้ในสำนวนและเห็นว่า คดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายและมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้ จึงยุติการไต่สวน ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 58 วรรคหนึ่ง และกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ประชุมปรึกษาหารือ และลงมติในวันที่ 1 ส.ค. เวลา 09.30 น. และนัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29ก.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาเเผนกคดีเลือกตั้ง ได้มีคำสั่งรับพิจารณาคำร้องของ กกต. เป็นคดีหมายเลขดำ ลต.สว.11/2568 ให้ดำเนินคดีอาญาเเละวินิจฉัยสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย ส.ว. กรณีใช้วุฒิการศึกษา กระทำการหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในคุณสมบัติ ความรู้ความสามารถหรือชื่อเสียงเกียรติคุณตามมาตรา 77 (4) ซึ่งเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงในการลงสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา พร้อมกันนี้ศาลฎีกาเเผนกคดีเลือกตั้งรับคำร้องเเล้วยังมีคำสั่งให้ผู้คัดค้าน (พญ.เกศกมล) หยุดปฏิบัติหน้าที่ พร้อมส่งเรื่องเเจ้งให้ประธานวุฒิสภาทราบเรื่อง โดยศาลฎีกาได้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 10ก.ย.2568 เวลา 14.00น.ที่ห้อวพิจารณาคดีที่5 อาคารศาลฎีกา
ที่รัฐสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส.กระบี่ พรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยตัวแทนจากพรรคพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่ลงชื่อจำนวน 34 คน ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาดำเนินการยกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ MOU 2543และMOU2544 ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา ต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่หนึ่ง โดยจะเป็นการพิจารณาในวันที่ 7 ส.ค. เนื่องจากวันที่ 31 ก.ค.มีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องภาษีทรัมป์
นายสฤษฏ์พงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนเคยยื่นหนังสือถึงนายกฯ,รมว.กลาโหม , ผบ.ทสส.และรมว.ต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้ลงนามในการเซ็น MOU ปี 2544 เนื่องจากความเป็นห่วงของประชาชนทั่วประเทศ ว่า MOU ที่เราทำกับกัมพูชานั้น ประเทศไทยมีแต่เสียเปรียบ ประกอบกับ MOU ปี 2552 สมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เคยมีมติครม.ให้ยกเลิก MOU2544 โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้ เนื่องจากมีผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติและไม่ผ่านรัฐสภา ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 178 บัญญัติไว้ว่าการไปลงนามทำ MOU แบบนี้ จำเป็นต้องผ่านรัฐสภา แต่ MOU 2544 ไม่ผ่านการพิจารณาจากรัฐสภา จึงขัดกับรัฐธรรมนูญปี 2560 ประเทศไทยไม่เคยทำ MOU กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ลาว หรือเมียนมา เราไม่เคยทำ MOU ในลักษณะแบบนี้ แต่ทำกับประเทศกัมพูชาประเทศเดียว เนื้อหาสาระที่เป็นห่วงคือเราพยายามจะใช้แผนที่ 1 : 50,000 แต่กัมพูชามีความพยายามใช้แผนที่ 1 : 200,000 ไม่มีใครที่ไหน ต้องการทำให้แผนที่มีความหยาบ จึงมีความเป็นห่วงว่าหากเราใช้สัดส่วน 1 : 200,000 เมื่อลากเส้นตรงไปจะติดเกาะกูดของเราไปด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี