หวั่นประชาคมโลกสับสน! ‘ปธ.กมธ.ต่างประเทศ’ วอนนานาประเทศเช็คข้อเท็จจริงข่าวไทย-กัมพูชา ลั่นไทยต้องเข้มแข็งด้วยลำแข้งตัวเอง เป็นโอกาสได้ตัดสินใจครั้งใหญ่-เห็นมิตรในวันที่มีปัญหา แจงข้อเสนอฟ้อง ‘ผู้นำกัมพูชา’ อาชญากรรมสงคราม ผ่าน ICC ทำได้ แต่หลักฐานต้องปึ้ก
วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เมื่อเวลา 09.05 น. ที่รัฐสภา น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา ที่มีการปะทะกันบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา กมธ.ต่างประเทศได้เดินสายชี้แจงข้อเท็จจริง เพราะมีความกังวลเรื่องการสื่อสารข่าวที่ไทยและกัมพูชามีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ซึ่งสร้างความไม่เข้าใจกับต่างชาติเป็นอย่างมาก ทางกมธ.จึงเดินสายไปพบปะกับประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคง เพื่อที่อย่างน้อยจะได้แสดงความกังวลใจในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ รวมถึงก่อนหน้านี้กมธ.ยังได้พบปะกับประเทศจีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส รวมถึง 18 ประเทศของสหภาพยุโรป โดยทางกมธ.จะเดินสายพูดคุยข้อเท็จจริงต่อไป พร้อมกับเรียกร้องให้เพื่อนมิตรประเทศต่างๆ แสดงจุดยืนในความรุนแรงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่กับประเทศไทย แต่กับทั้ง 2 ประเทศ และวอนขอให้ทุกประเทศช่วยกันมอนิเตอร์และตรวจสอบข้อเท็จจริงของข่าว เพราะเราได้เห็นว่ามีการปลอมแปลงข้อเท็จจริงมากมายทำให้เกิดความเสียหายในเวทีโลก เป็นการสร้างความสับสนแก่ประชาคมโลก เพื่อที่สุดท้ายแล้วได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นอย่างไร
เมื่อถามว่าหลังจากมีข้อตกลงหยุดยิงแล้วแต่ยังเกิดการปะทะจากฝ่ายกัมพูชา นานาประเทศมองอย่างไร น.ส.สรัสนันท์ กล่าวว่า เขารับฟัง ซึ่งหลายๆประเทศโดยเฉพาะโซนยุโรป ที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียโดยตรงจากเรื่องนี้ ดังนั้น จุดยืนของเขาจึงสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่ายยับยั้งชั่งใจ ซึ่งทางเรายืนยันชัดเจนว่าเรายับยั้งชั่งใจมาตลอด และถ้าไม่จำเป็นเราไม่ได้เลือกที่จะปะทะ แต่เราปกป้องตัวเองเท่าที่จำเป็น ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่ปรากฏภาพข่าวของชาวกัมพูชาได้รับความเสียหายหรือเสียชีวิต แต่ในทางกลับกันประเทศไทยไม่ได้คาดการณ์ หรือคาดคิดว่าความรุนแรงจะทวีความรุนแรงได้รวดเร็วทำให้เกิดความเสียหายขนาดนี้ ซึ่งเราคิดว่าเป็นความเสียหายที่ประชาคมโลกมีความจำเป็นที่จะต้องแสดงจุดยืนในเรื่องนี้ เพราะเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนพลเรือนที่ไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นซึ่งขัดแย้งกับกกฎบัตรหลายๆอย่างที่ทั้ง 2 ประเทศเป็นภาคี ดังนั้น กมธ.จึงจะเดินสายชี้แจงข้อเท็จจริงต่อไปควบคู่กับการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศ
“หลายประเทศโดยเฉพาะประเทศโซนภูมิภาคเดียวกับเราอยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งไทยและกัมพูชา แต่ยังมีความเป็นกลางและยังไม่ออกความเห็นมาก แต่ถ้าเป็นประเทศที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียจะมีความกังวลใจเรื่องประเทศที่ 3 ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่า ซึ่งเขาอยากรู้จุดยืนของประเทศไทยต่อประเทศมหาอำนาจ แต่ทั้งหมดทุกประเทศมีทั้งส่วนได้ส่วนเสีย ดังนั้น ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องเข้มแข็งด้วยลำแข้งตัวเอง และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็นโอกาสที่จะได้เห็นใครเป็นมิตรประเทศของเราในวันที่เรามีปัญหา ได้เห็นความจริงใจในหลายๆประเทศที่จะเข้ามาช่วยเหลือให้ประเทศไทยได้ผ่านพ้นวิกฤต สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้มแข็งจากตัวของเราเอง และมองให้ออกว่าเพื่อนบ้านของเรามีประสงค์อะไรและหลายประเทศที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องการอะไรจากสิ่งนี้ ไม่มีการปะทะไหนมาถึงจุดที่รุนแรงเพียงเพราะต้องการแค่ปราสาท แต่น่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น ส่วนใหญ่การปะทะไม่ว่าจากที่ไหนทั่วโลก มักจะมาจากเรื่องทรัพยากรและเรื่องเงินๆทองๆทั้งนั้น” น.ส.สรัสนันท์ กล่าว
น.ส.สรัสนันท์ กล่าวต่อว่า ส่วนการประชุมกมธ.ต่างประเทศวันนี้ มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานความมั่นคง มาให้ข้อมูลว่าต่อจากนี้จะทำอย่างไรให้สถานการณ์คลี่คลายรวดเร็วที่สุดและเกิดความเสียหายน้องที่สุด รวมถึงติดตามสถานการณ์ปัจจุบันของความสัมพันธ์ระหว่างไทย กัมพูชา และจะสอบถามถึงสถานการณ์ตามบริเวณชายแดนในปัจจุบันว่าหลังจากหยุดยิงแล้วการปะทะ หรือการปฏิสัมพันธ์ของฝ่ายทหารเป็นอย่างไร และอยากสอบถามผู้ว่าราชการ 4 จังหวัด คือ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ ในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงตัวแทนกองทัพภาคที่ 2 ที่จะมาให้ข้อมูล ซึ่งกมธ.อยากทราบว่าการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee – GBC) ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหน
เมื่อถามถึงหลายฝ่ายเสนอให้มีการฟ้องผู้นำกัมพูชาต่องศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) กรณีอาชญากรรมสงครามน.ส.สรัสนันท์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าทำได้ แต่อาจจะยังไม่ถึงเวลา บางทีเราอาจเขวี้ยงงูไม่พ้นคอ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีผู้เสียชีวิตทั้งฝั่งเรา และฝั่งเขา ดังนั้น ถ้าจะดำเนินการในเรื่องนี้ต้องมีหลักฐานเพียงพอ แต่เท่าที่ดูเขาก็มีคดีอื่นๆที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกอยู่แล้ว เราต้องวางเป้าให้ดีว่าจากสถานการณ์ขณะนี้เราต้องการอะไร ต้องการที่จะหยุดความรุนแรงเพื่อเจรจาต่อ หรือพยายามที่จะกำจัดบุคคลหรือครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งให้ออกไปจากซีน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและสู้กันอีกนานเป็นปีๆ ตนคิดว่าสิ่งสำคัญเป้าหมายหลักของเราคือหยุดรบก่อน เพื่อให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตปกติสุขและปลอดภัย อย่างไรก็ตามเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะเป็นตัวกลางเจรจาในรายละเอียด ส่วนเกมการเมืองระดับภูมิภาคต้องจับตาดูเพราะมีการเคลื่อนไหวทั้งจากจีน และสหรัฐอเมริกาที่มีนัยสำคัญ
“อาจจะเป็นเวลาของประเทศไทยที่จะต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ที่จะต้องพิจารณาดีๆว่าเราจะวางจุดไหน อยู่มิติไหน ให้เหมาะสมและเสียหายน้อยที่สุด แต่ไม่ใช่การเลือกฝักฝ่าย เพราะขณะนี้การค้าก็ถูกกดดันเรื่องภาษี ทำให้ทราบเจตนารมณ์ของสหรัฐว่าต้องการกดดันเราผ่านกรอบอะไรบ้าง เป็นที่น่ากังวลเพราะท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นประเทศไทยที่ถูกกดดัน ซึ่งเป็นเกมของใครเราต้องมานั่งคุยกันอีกที” น.ส.สรัสนันท์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี