เสริมกำลังเพิ่มตลอดแนวชายแดน
เขมรห้าวไม่เลิก!
ใช้โดรนบินสอดแนมหลายพื้นที่
ไร้เหตุปะทะตลอดทั้งวัน
ส่ง18ทหารเชลยกลับปท.
โฆษก รบ.ยัน ไม่มีเหตุปะทะรุนแรง ตลอดคืน ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ย้ำยังเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โฆษกทอ.โต้เขมรพบระเบิดMK-84 ขนาด 2,000 ปอนด์ ชี้ ไม่ใช่ของไทย ขณะที่ ทภ.2 ตรวจพบกัมพูชาเพิ่มกำลังตลอดแนวชายแดน-ใช้โดรนบินตรวจการณ์ฝั่งไทยหลายพื้นที่ กำหนดส่งทหารเขมรกลับประเทศวันนี้ ส่วนพื้นที่“ปราสาทตาควาย” ไทยยังบุกเข้ายึดไม่ได้ เพราะเขมรแสบ ลอบวางทุ่นระเบิดดักไว้ทุกทาง แต่ก็สามารถควบคุมพื้นที่ได้มากกว่าเดิม พร้อมวางกำลังประกบพื้นที่บริเวณปราสาท
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพจไทยคู่ฟ้า รายงานสถานกาณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า “ส่วนหน้า รายงานไม่มีเหตุปะทะรุนแรง ตลอดคืน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมา วันพุธ 30 กรกฎาคม68 ตั้งแต่เวลา 21.00น.จนถึงช่วงเช้า เวลา 07.00น.ยังไม่มีรายงานเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย ในทุกพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายทหาร พลเรือน ฝ่ายปกครอง และหน่วยปฏิบัติการในพื้นที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันเหตุ อย่างต่อเนื่อง
ทบ.แจงปมควบคุมตัวทหารกัมพูชา
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณี นายฮุน มาเน็ต นายก กัมพูชา โพสต์ข้อความ เร่งรัดให้ส่งตัวทหารกัมพูชา 18 นายกลับประเทศ โดยอ้างว่าได้มีการประสานงานกองทัพบก และ กระทรวงกลาโหม รวมถึง และ กองทัพมาเลเซียว่า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ชี้แจงกับ พลเอก ดาโต๊ะ โมฮัมหมัด นิซัม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซียไปแล้ว หลังที่ได้มีการพบกันเมื่อ29 ก.ค. ว่าจะดูแลเป็นไปตามเงื่อนไขกฎหมายสากล และจะรีบส่งกลับเมื่อเสร็จขั้นตอนตามกฎหมาย
ทอ.โต้ระเบิดMK-84ไม่ใช่ของไทย
พล.อ.ท.ประภาส สอนใจดี โฆษกกองทัพอากาศ ระบุถึงกรณีนาย แฮง รัตนา ผู้อำนวยการสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา (CMAA) โพสต์เฟซบุ๊ก พบระเบิด MK-84 โดยกัมพูชาขุดขึ้นมาได้พร้อมเผยแพร่ภาพว่า ได้มีข้อสังเกตว่า ระเบิดดังกล่าวอยู่ในสภาพเก่า และมีลักษณะคล้ายถูกขุดขึ้นมาจากใต้ที่พักอาศัยของประชาชน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดจากปฏิบัติการทางอากาศในช่วงที่ผ่านมา ดูจากสภาพที่ขึ้นสนิมไม่ใช่ของกองทัพอากาศไทย เนื่องจากลูกระเบิดที่กองทัพอากาศใช้มีสภาพใหม่และสมบูรณ์ ไม่เป็นสนิมขนาดนั้น ดูจากเส้นรอบวงโดยประมาณและความยาวคาดว่าเป็นลูกระเบิดอากาศขนาด 2,000 ปอนด์แบบตะวันตกที่มีใช้ทั่วไปสภาพความลึก และวางขนานกับพื้น ไม่เหมือนทิ้งจากเครื่องบิน
ทภ.2เผยเขมรเพิ่มกำลังแนวชายแดน
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย -กัมพูชา ประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 (ณ เวลา 14.00 น.) ตามที่เกิดสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปผลการปฏิบัติที่สำคัญของสถานการณ์ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เวลา 14.00 น. สถานการณ์การสู้รบ ปรากฏความเคลื่อนไหวของกำลังประเทศกัมพูชา รายละเอียดดังนี้ 1.ตรวจพบการเพิ่มเติมกำลังและเสริมความมั่นคงของกำลังประเทศกัมพูชา ในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทย - กัมพูชา
2.ตรวจพบการใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรนไม่ทราบฝ่าย/ไม่ทราบชนิด) บินตรวจการณ์ที่ตั้งการวางกำลังของฝ่ายเราในหลายพื้นที่ ได้แก่ ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี, พื้นที่ภูมะเขือ, สัตตะโสม, ปราสาทโดนตรวล, ภูผี อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ, ช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และ ช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์
3.การดำเนินการต่อผู้ถูกควบคุมตัว ซึ่งเป็นทหารกัมพูชาที่ยอมจำนน ในพื้นที่ ช่องซำแต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จำนวน 20 นาย ส่งดำเนินคดีตามกฎหมายในความผิดฐาน “เข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือมาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย” ต่อพนักงานสอบสวนที่มีอำนาจ สำหรับผู้บาดเจ็บ จำนวน 2 นาย ได้ส่งตัวเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ รพ.ค่ายวีรวัฒน์โยธิน อ.เมือง จ.สุรินทร์
ไทยวางกำลังคุมพื้นที่ปราสาทตาควาย
สำหรับกรณีการวางกำลังควบคุมพื้นที่โดยรอบปราสาทตาควาย ปัจจุบันสามารถดำเนินการได้อย่างเท่าเทียม สำหรับพื้นที่บริเวณลานด้านหน้าปราสาทตาควายซึ่งเดิมทั้งสองฝ่ายใช้เป็นที่พัก และเป็นพื้นที่ซึ่งประชาชนทั้งสองประเทศเคยใช้เพื่อการท่องเที่ยว โดยปัจจุบันเชื่อว่ามีการนำทุ่นระเบิด PMN2 ที่เคยทำร้ายทหารไทยในพื้นที่ช่องบกและช่องอานม้ามาวางเอาไว้ การกระทำดังกล่าวถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาว่า นอกจากนั้นการที่ฝ่ายกัมพูชานำกำลังเข้าไปวางในโบราณสถานปราสาทตาควาย ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาระหว่างประเทศด้วยเช่นกัน
ผลกระทบต่อประชาชน ไม่มีพื้นที่ของประชาชนที่ได้รับเสียหายเพิ่มเติม ไม่มีประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเพิ่มเติม
ส่งทหารกัมพูชากลับปท.1ส.ค.
รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงกองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น.ที่ช่องจอม ไทยจะส่งมอบทหารกัมพูชา ที่ล้ำแดนไทยเข้ามาในดินแดนไทย ระหว่างการสู้รบ บริเวณพื้นที่ซำแต จ.ศรีสะเกษ ภายหลังไทยดูแลตามหลักสากลและมนุษยธรรม โดยทหารกัมพูชา 18 คน มีบาดเจ็บ 1 คน แขนหัก อีก 1 คน มีอาการเสียสติจากการสู้รบ
ทั้งนี้ ฝ่ายทางไทย ได้ดำเนินการตามสนธิสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 3 (Geneva Convention relative to the Treatment of Prisoners of War) ซึ่งเป็น 1 ใน 4 อนุสัญญาเจนีวา ที่ลงนามในปี 1949 อนุสัญญาฉบับนี้เกี่ยวกับการปฏิบัติ และการส่งทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัวกลับประเทศหลังสิ้นสุดการสู้รบ
อย่างไรก็ตาม อนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 3 (1949) กำหนดให้ทหารที่ถูกควบคุมตัว ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม รวมถึงการให้อาหารอย่างเพียงพอ การส่งมอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ การส่งตัวทหารที่ถูกควบคุมตัวกลับประเทศ กำหนดให้ทหารที่ถูกควบคุมตัวได้รับการปล่อยตัว และส่งตัวกลับประเทศบ้านเกิด โดยไม่ชักช้า หลังจากสิ้นสุดการสู้รบ ซึ่งอนุสัญญาเจนีวา ฉบับที่ 3 เป็นหลักประกันทางกฎหมายที่สำคัญในการคุ้มครองเชลยศึกในช่วงสงคราม
ไทยยังยึดปราสาทตาควายไม่ได้
วันเดียวกัน วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร ได้เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดบริเวณ ปราสาทตาควาย ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ขณะนี้ ทหารไทยยังไม่สามารถยึดปราสาทตาควายคืนจากฝ่ายกัมพูชาได้ แม้จะมีการพยายามอย่างเต็มที่และต้องแลกมาด้วยการสูญเสียทั้งชีวิตและอาการบาดเจ็บของกำลังพลหลายนาย ทหารไทยเราทำดีที่สุดแล้ว สละชีพ สละขากันไปหลายคน เพราะเขมร วางกับระเบิดล้อมปราสาท และทหารไทย อยู่ในที่ต่ำกว่า
นักข่าวกัมพูชา เข้าพื้นที่ ปราสาทตาควาย 30 ก.ค.2568 วันที่ กัมพูชา พาผช.ทูตทหาร และนักข่าว ลงหลายพื้นที่ยืนยัน ทหารเขมร ยึดตัวปราสาทตาควาย ได้ แม้ ทหารไทยจะพยายาม เข้ายึดคืน ตลอดการสู้รบ แต่ทหารเขมรวางกับระเบิดป้องกัน ไว้ทหารไทย จึงเหยียบกับระเบิด กันหลายคน อีกทั้งชัยภูมิ ไทย เราเสียเปรียบเพราะฝ่ายไทยอยู่ในที่ต่ำกว่า เขมรอยู่ที่สูงกว่า แม้ทหารไทยจะพยายามเข้าไปยึดคืนในหลายทางแต่ก็เจอฐานเขมรวางกับระเบิดดักไว้รอบแม้ว่า F16 จะระดม ทิ้งระเบิด แต่ไม่ได้ทิ้งใส่ตัวปราสาทแต่ทิ้ง ระเบิดลงด้านนอก แต่ตัวปราสาท ยังกำบัง ระเบิดได้ดี หลังแนว ทหารเขมร ก็สูญเสียไม่น้อย
ทบ.เผยเขมรลอบวางทุ่นระเบิดเพียบ
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงการสู้รบพื้นที่ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ว่า ทหารไทยยังไม่สามารถควบคุมได้ 100% แต่ทหารไทยสามารถควบคุมพื้นที่รอบปราสาทตาควายได้ตามเป้าหมาย และมากกว่าก่อนเกิดเหตุปะทะ ซึ่งเราควบคุมคนละด้านกันฝั่งกัมพูชา เนื่องจากถึงเที่ยงคืนตามเวลาหยุดยิงก่อน และทหารเขมรมีการวางทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมากรอบปราสาท จนทำให้ ร.ต.เกียรติวงศ์ สถาวร หรือ หมวดบุ๊ค ถูกระเบิดจนสูญเสียขาขวาขณะกรุยทางเข้าไป ให้ผู้บัญชาการทหารแนวหน้า ต้องเลือกรักษาชีวิตทหาร เนื่องจากพบวางไว้ทั่ว ซึ่งการวางทุ่นระเบิด PMN-2 เป็นการวางระเบิดชนิดนี้ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
วางกำลังประกบบริเวณปราสาท
แหล่งข่าวกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงผ่านสื่อ กรณีมีกระแสข่าวกัมพูชายึดปราสาทตาควาย ว่า ขณะนี้มีการหยุดยิงก่อน จึงยังไม่สามารถยึดพื้นที่เนิน 350 ของปราสาทตาควายได้ แต่ในบริเวณตัวปราสาทยังคงมีกำลังของทั้งสองฝ่ายอยู่ในพื้นที่ โดยแยกกันอยู่คนละด้านของปราสาท ห่างกันประมาณ 50 เมตร ทั้งนี้ ฝ่ายไทยมุ่งหมายการควบคุมพื้นที่บริเวณเนิน 350 โดยมิได้มีการสู้รบในเขตโบราณสถานแต่อย่างใด การควบคุมพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายยังอยู่ในลักษณะไม่ละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ ซึ่งต่างฝ่ายต่างควบคุมพื้นที่ของตน โดยละเว้นการปะทะในเขตโบราณสถาน
มีรายงานว่า ตัวปราสาทตาควายอยู่ตรงกลาง ส่วนกองกำลังทั้งสองฝ่ายอยู่นอกขอบปราสาท พื้นที่สู้รบอยู่บนเนิน 350 ซึ่งต่างฝ่ายต่างหวังยึดเนิน 350 ซึ่งเป็นชัยภูมิที่จะเป็นจุดควบคุมพื้นที่สู้รบบริเวณนั้นได้ เพราะเป็นจุดสูงข่ม ส่วนตัวบริเวณปราสาท เดิมเป็นจุดประสานงานระหว่างสองประเทศ ปัจจุบันไม่มีใครอยู่ในพื้นที่ปราสาท เพราะไม่ใช่จุดสำคัญที่ต้องสู้รบช่วงชิง โดยการสู้รบตลอด 5 วันที่ผ่านมา ปะทะหนักตลอดคืน คือ เนิน 350 เมตร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี