เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก "ปราชญ์ สามสี" โพสต์ข้อความระบุว่า วิเคราะห์สถานการณ์ปล่อยตัวทหารกัมพูชา - และเงื่อนไขที่คนไทยควรถาม “เพื่อใคร?”
บทนำ
ในสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ณ ปลายเดือนกรกฎาคม 2568 ท่ามกลางเสียงปืนและกระสุน ทหารไทยแนวหน้าได้สร้างความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งฝ่ายไทยสามารถยึดพื้นที่สูงและกำลังรุกคืบอย่างต่อเนื่อง
แต่ในขณะที่ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม กลับเกิดคำสั่งหยุดยิงในเวลา 24:00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม และตามมาด้วยคำสั่งให้ ส่งตัวทหารกัมพูชาที่ลี้ภัยกลับประเทศ ภายใน 18:00 น. ของวันพรุ่งนี้ โดยที่ไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใด ๆ ที่เป็นรูปธรรม
คำถามคือ:
ใครอยู่เบื้องหลังการตัดสินใจเช่นนี้?
และประเทศไทย “ได้อะไร” จากการยอมคืนอำนาจให้ฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้?
---
รัฐบาลไทย “ไม่ได้สั่งหยุดยิง” แต่กลับ “สมคบคิดกับต่างชาติ” เพื่อเร่งจบเกม?
แม้รัฐบาลไทยจะไม่ได้มีคำสั่งหยุดยิงตรง ๆ ต่อสาธารณะ
แต่เป็นที่ทราบกันดีระบุชัดเจนว่า มีการตอบรับ “กรอบเวลาหยุดยิง” ที่ถูกกดดันจากต่างชาติ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น
การที่สหรัฐอเมริกากดดันให้ไทยและ กัมพูชาหยุดยิง โดยวางเงื่อนไขเกี่ยวกับการขึ้นภาษี 36% เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดเดียว
เป็นอย่างที่ทราบกันดีว่าเรื่องอธิปไตยของชาติเนี่ยมีมูลค่าสำคัญกว่าภาษี 36% ที่จะต้องจ่ายให้กับสหรัฐอยู่แล้วดังนั้นข้อต่อรองที่สหรัฐอเมริกามีอยู่ให้กับไทยและกัมพูชาย่อมเป็นเงื่อนไขที่ไม่สมดุลกับความเป็นจริง
ที่สำคัญกัมพูชาไม่ได้มีความสนใจเกี่ยวกับเงื่อนไขนี้แต่อย่างใดยังคงละเมิดข้อตกลงและยิงเข้ามาสู่พื้นที่ของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องหลังจากข้อตกลงหยุดยิงเกิดขึ้น
นอกจากนี้ การเร่งปล่อยตัวทหารกัมพูชาที่ลี้ภัยมา — ซึ่งควรเป็น “ทรัพยากรต่อรองทางการเมืองและความมั่นคงของไทย” — กลับถูกปฏิบัติเหมือนสิ่งของไร้ค่า ถูกนัดหมายส่งกลับในเวลาที่แน่นอน โดยไร้เงื่อนไข แลกเปลี่ยน หรือกระบวนการใด ๆ ที่สะท้อน “ผลประโยชน์ของชาติ”
นี่คือการ ตัดขาดอำนาจต่อรองของไทย ด้วยน้ำมือของรัฐบาลไทยเอง
---
ภาพซ้ำของการ “ทอดทิ้งทหาร” ที่ไม่ควรเกิดขึ้น
เมื่อย้อนกลับไปในเหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ปี 2554
เราจะเห็นภาพที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
รัฐบาลในขณะนั้น — นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
พร้อมรัฐมนตรีกลาโหม — ต่างนั่งหัวโต๊ะในวอร์รูม
ร่วมประเมินสถานการณ์ แถลงข่าวอย่างตรงไปตรงมา และประกาศจุดยืนเคียงข้างทหารแนวหน้า
แต่ในปี 2568 นี้…
รัฐบาลเพื่อไทยกลับเงียบงัน ปล่อยให้แม่ทัพภาค 2 และกองกำลังแนวหน้าต้องรับศึกทุกด้านเพียงลำพังไม่มีวอร์รูม
ไม่มีการชี้แจงไม่มีใครในรัฐบาล “รับผิดชอบร่วม” กับการรบที่เกิดขึ้น
---
ข้อสังเกตที่น่าคิด: กัมพูชาเล็งเป้าแค่ “กองทัพภาค 2” แต่ไม่แตะ “รัฐบาลไทย” เลย?
อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือ แนวการโจมตีของกัมพูชา
ในทางยุทธศาสตร์ พวกเขามุ่งเป้าไปที่ “แม่ทัพภาค 2” และกำลังพลแนวหน้าแต่แทบไม่มีท่าทีใด ๆ ที่มุ่งเป้าไปยัง “รัฐบาลไทย” หรือ “ฝ่ายการเมือง”
นี่คือข้อสังเกตที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่ง:
> ทำไมรัฐบาลไทยจึงดู “ปลอดภัยเกินไป” ในสายตาของเขมร?หรือมีความสัมพันธ์ลับบางอย่างที่ทำให้รัฐบาลไทยถูกมองว่า “ไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง”?
---
ผลเสียของการเร่งปล่อยตัว – เมื่อประเทศยอมเสียทุกอย่างโดยไม่ต้องแลก
การส่งตัวทหารกัมพูชากลับภายในเวลาอันสั้น
โดยไม่มีการเจรจา ไม่มีการแสวงหาประโยชน์ ไม่มีเงื่อนไขแม้แต่น้อย
เท่ากับเป็นการ:
สูญเสียอำนาจต่อรอง ทั้งในเชิงการทูตและยุทธศาสตร์
ตัดโอกาสในการใช้ผู้ลี้ภัยเป็นช่องทางเจรจาหยุดยิง ที่ยั่งยืน
ทำลายขวัญกำลังใจของทหารไทย ที่รู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้ง
และที่สำคัญ — เปิดทางให้กัมพูชาฟื้นกลับมาเป็นภัยได้อีกครั้ง
---
สรุป: เพื่อไทย เพื่อใคร?
สุดท้ายแล้ว
การหยุดยิงขณะได้เปรียบ
การเร่งปล่อยศัตรูกลับไปโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน
และการปล่อยให้ทหารแนวหน้ารับภาระทั้งหมดเพียงลำพัง
คือสิ่งที่ต้องถามกลับว่า...
> รัฐบาลไทยกำลังเจรจาเพื่อใครกันแน่?
เพื่อผลประโยชน์ของชาติ?
หรือเพื่อผลประโยชน์ของ “ใครบางคน” ที่คนไทยไม่มีวันได้รู้?
> ประเทศไทยยังมีทหารแนวหน้าที่ยืนหยัด
แต่รัฐบาล...ควรยืนอยู่ข้างเขา ไม่ใช่ข้างหลังเขาพร้อมมีดในมือ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี